หัวใจ (heart)  เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปสู่ส่วนต่างๆ  ของร่างกายซึ่งกล้ามเนื้อหัวใจจะทำงานนอกเหนืออำนาจจิตใจ มีน้ำหนักประมาร 150-350  กรัม แบ่งเป็น 4 ห้อง ประกอบด้วย  
                                                            1.  ห้องบน เรียกว่า atrium  มีด้วยกัน 2 ห้องคือห้องบนซ้าย(left  atrium) และห้องบนขวา (right atrium)  
                                                            2.   ห้องล่าง เรียกว่า ventricle   มีด้วยกัน 2 ห้องคือห้องล่างซ้าย(left  ventricle) และห้องล่างขวา (right ventricle)  
                                                            การบีบตัวของหัวใจห้องบนและห้องล่าง เรียกว่า การเต้นของหัวใจ  หัวใจห้องบนซ้าย(left  atrium) และห้องบนขวา (right atrium) รับเลือดเข้าสู่หัวใจ  และหัวใจห้องล่างซ้าย (left ventricle) และห้องล่างขวา (right  ventricle) รับเลือดจากห้องบนและบีบออกจากหัวใจไปสู้เซลล์ต่างๆ  ของร่างกาย  การเต้นของหัวใจใน 1 นาที  เรียนว่า อัตราการเต้นของหัวใจ (heart rate) ซึ่งคนผู้ใหญ่ในขณะพักปกติจะมีอัตราการเต้นของหัวใจประมาณ  70-100 ครั้งต่อนาที โดยประมาณ  แต่ในนักกีฬาในขณะพักปกติจะมีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่าประมาณ 50-70  ครั้งต่อนาที เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจของนักกีฬาแข้งแรงกว่าสามารถบีบหรือสูบฉีดเลือดได้ในปริมามากกว่าแต่ละครั้งเพียงพอกับความต้องการของร่างกายจึงไม่จำเป็นต้องบีบตัวบ่อยๆ  ปริมาตรการบีบตัวแต่ละครั้งของหัวใจเรียกว่า stroke volume คนปกติจะมีค่าประมาณ 60-70 ลบ.ซม. เพศหญิงมีค่าน้อยกว่าเพศชายประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์  และในนักกีฬาจะมีค่ามากกว่าในคนปกติ   ปริมาณเลือดที่บีบออกจากหัวใจต่อนาทีเรียกว่า cardiac  output ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอัตราการเต้นและปริมาตรการบีบตัวแต่ละครั้งของหัวใจ  ดังสมการ 
                                                            
                                                              
                                                          แสดงระบบไหลเวียนเลือด 
                                                              
                                                          แสดงทางเดินระบบไหลเวียนเลือด  
                                                           
                                                          เลือดแดงคือเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนมากและจะสูบฉีดไปสู่เซลล์ต่างเพื่อนำออกซิเจนที่มีอยู่ไปใช้ในกระบวนการเผาพลาญพลังงานของเซลล์  จะสูบฉีดออกจากหัวใจห้องล่างซ้าย (left  ventricle) ดังรูปที่ 12   โดยผ่านเส้นเลือดแดง และเมื่อเซลล์ต่างๆ  ในร่างกายใช้ออกซิเจนหมดแล้วเลือดจะกลายเป็นเลือดดำคือเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำจะไหลย้อนกลับทางเส้นเลือดดำโดยอาศัยแรงดันในเส้นเลือดและการบีบตัวของกล้ามเนื้อกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาผ่านไปห้องล่างขวาเพื่อส่งไปฟอกหรือแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด  และเมื่อกระบวนการแลกเปลี่ยนก๊าซสมบูรณ์จะไหลกลับเข้าสู่หัวใจห้องบซ้ายผ่านไปที่ห้องล่างซ้ายและสูบฉีดหือบีบออกจากหัวใจผ่านเส้นเลือดแดงใหญ่  (aorta) เพื่อนำเลือดไปสู่ส่วนต่างๆ ต่อไป  กระบวนการนี้จะเกิดหมุนเวียนตลอดเวลา 
                                                          การทำงานของระบบไหลเวียนเลือดในการออกกำลังกาย 
                                                            อวัยวะที่สำคัญคือหัวใจที่เปรียบเสมือนเครื่องสูบ  สูบฉีดโลหิตไปตามหลอดเลือดสู่อวัยวะปลายทางคือกล้ามเนื้อ  ในเม็ดเลือดแดงมีฮีโมโกลบิน (สารประกอบของเหล็กร่วมกับโปรตีน)  ทำหน้าที่จับออกซิเจนไปยังเซลล์ เมื่อความต้องการออกซิเจนของร่างกายมากขึ้น  เลือดจำเป็นต้องไหลเวียนมากขึ้นหัวจะเพิ่มอัตราการเต้นและปริมาณการสูบฉีดแต่ละครั้ง  ตามปกติหัวใจเต้นประมาณ 70  ครั้งต่อนาที และปริมาณการสูบฉีดแต่ละครั้งประมาณ 60 ลบ.ซม. ขณะออกกำลังกายหนัก หัวใจอาจเต้นกว่า 180 ครั้งต่อนาที และปริมาณการสูบฉีดแต่ละครั้งกว่า 100 ลบ.ซม. การเพิ่มของอัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือดเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับการเพิ่มการหายใจคือ  ขึ้นอยู่กับความต้องการออกซิเจนของร่างกายขณะนั้น  ในระยะฟื้นตัวหลังออกกำลังก็เช่นเดียวกัน  หัวใจจะต้องเต้นแรงและเร็วอยู่ต่อไปและค่อยลดลงจนปกติ  
                                                          ผลของการฝึกที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนเลือด 
                                                          
                                                          
                                                            - หัวใจมีขนาดใหญ่ขึ้น  (Athletes heart) โดยเฉพาะในการฝึกความทนทาน  ปริมาตรหัวใจคนปกติเฉลี่ยประมาณ 10 ลบ.ซม.  ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ในนักกีฬาที่สมบูรณ์  ปริมาตรหัวใจอาจมากกว่า 15  ลบ.ซม. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
 
                                                            - หลอดเลือดฝอยในหัวใจกระจายเพิ่มมากขึ้นทำให้หัวใจได้รับออกวิเจนมากขึ้น 
 
                                                            - หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 
 
                                                            - เลือดเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงและฮีโมโกลบินมากขึ้น 
 
                                                            - เพิ่มประสิทธิภาพในกาทำงาน 
 
                                                                                                                       |