การสังเกต  เป็นเครื่องมือวัดผลชนิดหนึ่งที่ผู้ทำหน้าที่ในการวัดใช้ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือ
            ในการเรียนการสอนสิ่งที่ครูจะสังเกตผู้เรียนคือ  ผลงาน และพฤติกรรมของผู้เรียน  เช่น สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในขณะที่เรียนว่ามีความสนใจในบทเรียนเพียงไร  มีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่  ให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่มมากน้อยแค่ไหน  เป็นต้น
            ประเภทของการสังเกต
                   การสังเกต  มีการแบ่งประเภทออกเป็นหลายอย่าง  โดยยึดเกณฑ์หรือลักษณะที่ใช้แบ่งดังนี้
            1. แบ่งตามการเข้าร่วมในการสังเกต  สามารถ แบ่งการสังเกตออกเป็น 2 ประเภท   ได้แก่
                1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วม  หมายถึง  การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปอยู่ร่วมใน    กิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ได้รายละเอียดหรือข้อมูลที่แน่นอน  ถูกต้องชัดเจน 
                1.2 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม  หมายถึง  การสังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ  แต่คอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ สามารถที่จะจดบันทึกรายละเอียดของสิ่งที่ต้องการสังเกตได้
            2. แบ่งตามการวางโครงสร้างการสังเกต  แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
                2.1 การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้างล่วงหน้า (Unstructured  Observation)     เป็นการสังเกตที่ไม่มีการกำหนดเรื่องราว  หรือพฤติกรรมใดไว้ล่วงหน้า  เป็นการสังเกตอิสระไม่มีการควบคุมเครื่องมือเครื่องใช้ 
               2.2  การสังเกตแบบมีโครงสร้างล่วงหน้า (Structured  Observation) เป็นการกำหนดเรื่องราว  หรือขอบเขตของพฤติกรรมใดไว้ล่วงหน้า  ผู้สังเกตจะกำหนดสถานการณ์ในการสังเกตให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน  ทุกคนที่ถูกสังเกตจะถูกจัดให้อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน 
              องค์ประกอบของการสังเกต
              การสังเกตจะได้ผลดีหรือไม่  ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเหล่านี้คือ
              2.1 ความตั้งใจ (Attention) การสังเกตจะได้ผลดีถ้าผู้สังเกตมีความตั้งใจจริงและสนใจเฉพาะเรื่องที่กำลังสังเกต  รวมทั้งพยายามตัดอคติหรือความลำเอียงต่าง ๆ ออกไป
              2.2 ประสาทสัมผัส (Sensation) ได้แก่ประสิทธิภาพและความเฉียบคมของประสาทสัมผัส  การสังเกตควรสังเกตในขณะที่สภาพประสาทสัมผัสของผู้สังเกตดีพอ 
              2.3 การรับรู้ (Perception) การรับรู้ของผู้สังเกตขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถของผู้สังเกต  ผู้ที่มีประสบการณ์และมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สังเกตย่อมจะรับรู้และสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องที่สังเกตได้ดี           
              หลักการสังเกต
                      การสังเกตเป็นวิธีการที่จะช่วยให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคลที่เชื่อถือได้นั้น  ต้องมีกระบวนการในการดำเนินการ  โดยยึดหลักดังนี้
            1. มีจุดมุ่งหมาย  ผู้สังเกตต้องทราบว่าจะสังเกตพฤติกรรมในเรื่องใด  พร้อมทั้งต้องแจกแจงการแสดงออกของพฤติกรรมนั้นให้ละเอียดครอบคลุมทุกแง่มุม
            2. การรับรู้รวดเร็ว  ผู้สังเกตสามารถมองเห็นพฤติกรรม  หรืออาการที่เด็กแสดงออกมาได้อย่างรวดเร็ว 
            3. สังเกตหลายคนหรือหลายครั้ง  จะทำให้ผลการสังเกตที่ได้เชื่อถือได้สูง
            4. สังเกตให้ตรงความจริง  คือพยายามสังเกตให้ได้พฤติกรรมการแสดงออกที่เป็น      ธรรมชาติแท้จริงให้มากที่สุด 
            5. มีการบันทึกผล   เพื่อจะทำให้ข้อมูลไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน วิธีบันทึกผลการสังเกตอาจมีสัญลักษณ์แทนข้อความยาว ๆ
            การใช้การสังเกต
                      สิ่งที่จะต้องพึงระวังในการสังเกต มีดังนี้                
            1. ผู้สังเกตจะต้องมีความพร้อมก่อนที่จะลงมือสังเกต 
            2. ผู้สังเกตต้องมีความแม่นยำและรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออกครบถ้วน
            3. พยายามเจาะจงไปที่พฤติกรรมที่ต้องการจะสังเกตด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว
            4. ต้องกระทำโดยแนบเนียน  เพื่อให้เกิดลักษณะที่เป็นธรรมชาติหรือเป็นประจำตามปกติ
            5. ต้องเลือกวิธีจดบันทึกผลการสังเกตที่เหมาะสม 
            6.  ควรวางแผนเพื่อเลือกแบบและกำหนดวิธีการที่เหมาะสม 
            7. ช่วงเวลาที่ใช้การสังเกตจะยาวนานเพียงใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับพฤติกรรมที่สังเกต  และสภาวะเชิงเหตุการณ์
            8. การสังเกตที่ดี สามารถหาวิธีตรวจสอบความเชื่อมั่นของผลการสังเกตนั้นได้ด้วย
            9. ควรระวังในเรื่องอารมณ์  แรงจูงใจ  อคติ  สภาพทางสังคม  สภาพทางร่างกาย
            เครื่องมือที่จะใช้ประกอบการสังเกต
                      ในการสังเกตผู้สังเกตจะต้องใช้เครื่องมือประกอบการสังเกต  ดังนี้
            1. แบบสำรวจรายการ  (Checklist) เป็นรายการที่กำหนดไว้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ต้องการให้กระทำ  หรือวิธีการที่มีจุดประสงค์ว่าจะให้ทำตามนั้น  การใช้แบบสำรวจเป็นการกำหนดเป็นน้ำหนักคะแนนว่า  ได้  หรือ  ไม่ได้  ถ้าผ่านหรือได้แสดงว่าผู้ปฏิบัติได้กระทำตามรายการนั้นถูกต้อง  แต่ถ้า  ไม่ได้  ก็แสดงว่าทำไม่ถูกต้องดังตัวอย่าง

จุดประสงค์ : เลือกซื้ออาหารกลางวันรับประทานสำหรับตนเองได้
คำชี้แจง       จงทำเครื่องหมาย / ลงในช่องที่เหมาะสมทางด้านขวามือ

           

รายการ

ใช่

ไม่ใช่

  1. อาหารมีคุณภาพ
  2. รดชาดอร่อย
  3. อาหารน่ารับประทาน
  4. ภาชนะใส่อาหารสะอาด
  5. ภาชนะใส่อาหารเหมาะสม
  6. ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ

………………
………………
………………
………………
………………
………………

………………
………………
………………
………………
………………
………………

          2. มาตราส่วนประมาณค่า (Rating  scale) มีลักษณะคล้ายแบบสำรวจรายการ  แต่กำหนดระดับคะแนนให้แก่รายการตามความคิดเห็นของผู้สังเกตว่ารายการนั้นๆ ผู้ถูกสังเกตมีค่าตามข้อความหรือรายการนั้นอยู่ในระดับใด  มาตราส่วนประมาณค่าใช้ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผลผลิต  และวิธีการปฏิบัติงานรวมไปถึงการวัดทางบุคลิกภาพ
         มาตราส่วนประมาณค่ามีหลายรูปแบบดังนี้
               2.1 กำหนดเป็นตัวเลข        ตัวอย่างเช่น
         คำชี้แจง  ให้นักเรียนวาดภาพและระบายสีตามความคิดเห็นของนักเรียนเอง

           

 

เลขที่

 

ชื่อ

ความคิดริเริ่ม

ความสมดุล

การระบายสี

ความสะอาด

3

2

1

3

2

1

3

2

1

3

2

1

1
2
3

……………………………
……………………………
……………………………

























                 2.2 เปรียบเทียบแบบมาตราส่วนประมาณค่า  ตัวอย่าง  เช่น
            แบบประเมินการสอน

น้อย

1

2

3

4

5

6

7

มาก

การเตรียมการสอน

น้อย

1

2

3

4

5

6

7

มาก

เทคนิคการสอน

               2.3 การจัดอันดับ    ดังตัวอย่างในแบบสอบถามข้างต้น
           3. บัตรคะแนน (Score  Card)  ดังตัวอย่าง  เช่น

รายการ

คะแนนเต็ม

คะแนนที่ได้

  1. การเลือกเมล็ดพันธุ์
  2. การเตรียมดิน
  3. ความคล่องแคล่วในการปลูก
  4. วิธีการปลูก
  5. การปฏิบัติหลังการปลูก

……………………………
……………………………
……………………………
……………………………
……………………………

…………………………
…………………………
…………………………
…………………………
…………………………

          4. การบันทึกเรื่องราว(Anecdotal  record)   ดังตัวอย่าง  เช่น

เวลา……………..  วันที่…………………………….ชื่อ…………………………………
สถานที่……………………………………………………………………………………
เหตุการณ์และพฤติกรรม…………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………....