1.
การตอบสนองของ Single muscle fiber |
|
เมื่อกระตุ้น
1 ใยกล้ามเนื้อ (Single muscle fiber) จะมีการตอบสนองเป็นไปตาม
All or None Response คือ ถ้ากระตุ้นถึง Threshold ก็จะหดตัวเลยแต่ถ้าไม่ถึง
Threshold ก็จะไม่ตอบสนองกราฟการหดตัวที่ได้เรียกว่า Single
Twitch Tension อย่างไรก็ตามกล้ามเนื้อจะไม่หดตัวให้เห็นในทันทีทันใด
แต่จะใช้เวลาช่วงสั้น ๆ ตั้งแต่กระตุ้นจนเห็นการตอบสนองเรียกว่า
Latent period (สังเกตด้วยตาเปล่าไม่เห็น) กราฟการหดตัวเป็นรูประฆังคว่ำ
มีเวลาที่ใช้ในการหดตัว (Contraction period) และเวลาที่ใช้ในการคลายตัว
(Relaxation period บางที่เรียกว่า Refractory period) เพี่อคือสภาพพร้อมรับการกระตุ้นครั้งใหม่
(รูป) กล้ามเนื้อในร่างกายเรามิได้ทำงานด้วย Singie muscle fiber
แต่อาศัย muscle fibers จำนวนมากมายมาร่วมกันทำงาน |
แสดงช่วงเวลา Latent period, เวลาในการหดตัว (Contraction
phase) และเวลาในการคลายตัว (Relaxation phase) ซึ่งแบ่งได้
2 ส่วนย่อย คือ เวลาในการคลายตัวที่ไม่สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อได้เลย
(Absolute Relaxation phase) และเวลาในการคลายตัวที่พอจะกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ตอบสนองได้บ้าง
(Relative Relaxation phase)
ทั้งเวลาในการหดตัว
(Contraction phase) และเวลาในการคลายตัว (Relaxation
phase) เป็นตัวบอกคุณสมบัติของกล้ามเนื้อว่าเป็นชนิด ST
หรือ FT กล่าวคือหากหดตัวเร็วคลายตัวเร็วจะเป็น FT หากหดตัวช้าคลายตัวช้าจะเป็น
ST การฝึกความเร็วที่ประสบความสำเร็จจะทำให้มีการเบี่ยงของกราฟไปทางซ้าย
การฝึกให้หดตัวช้าจะทำให้มีการเบี่ยงของกราฟไปทางขวา |
 |
|
2.
การรวมแรงให้มากขึ้น (Force summation) มี
2 แบบ ได้แก่ |
|
2.1
Motor unit summation เป็นการรวมแรงโดยอาศัยจำนวน Motor unit
ในกล้ามเนื้อนั้น ๆ มาช่วยเพิ่มแรง |
2.2
Frequency summation เป็นการรวมแรงโดยอาศัยความถี่ในการกระตุ้นที่เร็วขึ้น
เช่น อาจกระตุ้นถี่ ๆ จนอยู่ในช่วงของ Relative Relaxation period
ก็ยังมีการตอบสนองได้ แรงที่ได้จะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงภาวะหนึ่งซึ่งทุกเส้นใยของทั้งมัดกล้ามเนื้อตอบสนองหมดแล้ว
ก็จะได้ Tension สูงสุด ลักษณะ Muscle tension สูงสุดแบบนี้เรียกว่าเป็น
Tetanus (การแข็งเกร็งคล้ายภาวะบาดทะยัก) ในสภาพจริงเกิด Frequency
summation ได้เมื่อเรายกของหนัก ๆ เพื่อย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งจะมีคำสั่งที่ถี่มาก
ๆ จากสมองลงมาที่กล้ามเนื้อเพื่อให้เราคงสภาพการยกนั้นไว้ให้ได้ |
2.3
การเกิด Force summation ในการฝึกกีฬา เป็นทั้ง Motor unit และ
Frequency Summation รวมกันเพื่อให้ได้แรงมากน้อยแปรตามกิจกรรมทางกาย |
|
3.
ลักษณะทางกลศาสตร์ของกล้ามเนื้อ (Mechanical Characteristics
of Muscle) |
3.1
ความสัมพันธ์ของความยาวกล้ามเนื้อกับแรงหดตัว (Length Tension
Relation - ships) กล้ามเนื้อจะทำงานได้แรงสูงสุดเฉพาะที่ความยาวอันใดอันหนึ่ง
(เรียกว่า optimal length หรือ Resting length) ความยาวที่มากหรือน้อยกว่านี้จะหดตัวได้แรงน้อยลง
เชื่อว่า ณ Resting length นี้เป็นตำแหน่งที่ Myosin head จับกับ
Actin ได้มากและพอเหมาะที่ทำให้เกิดแรงดึงสูงสุด กล้ามเนื้อทุกมัดมี
Resting length ของตัวเองในอันที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดท่าทางการออกตัวในนักกีฬาก็เพื่อหา Resting length ของคน
ๆ นั้น
เนื่องจากความยาวกล้ามเนื้อแปรไปตามองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่กล้ามเนื้อนั้นๆ
เกาะอยู่ Length Relationships อาจถูกนำเสนออีกอย่างหนึ่งว่า
Tension Angle Relationships |
3.2
ความสัมพันธ์ของแรงและความเร็วในการหดตัว (Force Velocity
Relationships) ความสัมพันธ์นี้เป็นลักษณะผกผันซึ่งกันและกัน
กล่าวคือ เมื่อความเร็วในการหดตัวเพิ่มขึ้น แรงที่เกิดขึ้นจะลดลง
และเมื่อความเร็วในการหดตัวสูงสุด แรงที่เกิดขึ้นจะต่ำสุด ในทางกลับกันเมื่อความเร็วในการหดตัวต่ำสุด
แรงที่เกิดขึ้นจะสูงสุด |
3.3
ความสัมพันธ์ของความยืดหยุ่นกล้ามเนื้อกับแรงหดตัว (Elasticity
Force Relationships) ความยืดหยุ่นกล้ามเนื้อมีผลต่อแรงหดตัว
เมื่อไรที่กล้ามเนื้อถูกยึดทันทีทันใดจะเกิดการหดคืนกลับ (Elastic
recoil) หากเกิดร่วมกับการหดตัวของกล้ามเนื้อเองจะยิ่งทำให้แรงที่ได้มากขึ้น
ลักษณะดังกล่าวเป็นวงจร Stretch Shortening Cycle (SSC) โดยอาศัยกระตุ้นรีเฟล็กซ์ผ่านความยืดหยุ่นกล้ามเนื้อและเอ็นกล้ามเนื้อ
ในขณะที่วิ่งเมื่อปลายเท้าแตะพื้น น้ำหนักตัวจะทำให้เกิดการยึดกล้ามเนื้อ
Gastrocnemius ทันทีทันใดทำให้มีแรงถีบตัวไปข้างหน้าแรงขึ้นในจังหวะลอยตัวเท้าพ้นพื้น
ความรู้ดังกล่าวนี้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการฝึกเพื่อแรงหดตัวกล้ามเนื้อในลักษณะ
Plyometric Training การใช้ Medicine Ball ในการฝึก |
3.4
การล้าของกล้ามเนื้อ (Muscle Fatigue) แม้ว่าประโยชน์ของการออกกำลังกายมีหลายประการ
แต่เราควรทราบด้วยว่าการออกกำลังกายก็อาจมีผลเสียอยู่บ้างเช่น
การล้าและการปวดเมื่อย
การล้า
(Muscle Fatigue) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อไม่สามารถดำรงประสิทธิภาพการทำงานได้ต่อไป
เกิดจากการฝึกร่างกายซ้ำ ๆ อย่างหนักหรือนานมาก แบ่งการล้าได้
2 ลักษณะ คือการล้าจากส่วนกลาง (Central fatigue) และการล้าที่กล้ามเนื้อเอง
(Peripheral fatigue) |
-
Central fatigue มีสาเหตุจากความผิดปกติในการสั่งงานจากสมองความผิดปกติของทางเดินใยประสาทในไขสันหลัง
หรือปัญหาทางจิตใจ ความไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรม |
-
Peripheral fatigue มีสาเหตุจากความผิดปกติของเส้นประสาทหรือที่กล้ามเนื้อเองซึ่งมีหลายตำแหน่งที่เป็นสาเหตุของการล้า
เช่นที่ NMJ, Sarcoplasmic reticulum, T tubules, หรือที่
myofilaments มี 2 ทฤษฎีที่กล่าวถึงการล้า (Fatigue Theory)
ดังนี้ |
ก)
ทฤษฎีการพร่อง (Depletion theory) กล่าวว่าเกิดการขาดสารบางอย่างในขณะที่กล้ามเนื้อทำงานหนักหรือนานเกินไป
เช่นขาด ATP, Creatine phosphate, Glycogen ทำให้กล้ามเนื้อทำงานต่อไม่ได้ |
ข)
ทฤษฎีการสะสม (Accumulation theory) กล่าวว่ามีการสะสมสารบางอย่างมากเกินไป
เช่น hydrogen ions, lactate, ammonia และ phosphate ซึ่งไปขัดขวางการทำงานของกล้ามเนื้อ |
ในทางปฏิบัติเราหาการล้าของนักกีฬาได้โดยให้ทำกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อที่ต้องการพิสูจน์ช้ำนาน
ๆ จนกระทั่งแรงที่ทำได้ลดลงเหลือ 20 % ของค่า Maximum voluntary
contraction (MVC)
|