5. วิทยาศาสตร์การกีฬาประเทศจีน
5.1 วิทยาศาสตร์การกีฬาและกีฬาเวชศาสตร์สมัยใหม่ในประเทศจีน
หลังจากประเทศจีนได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 วิทยาการต่างๆ ได้มีการพัฒนาและเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นลำดับ วิทยาศาสตร์การกีฬาและกีฬาเวชาศาสตร์ก็เป็นศาสตร์ที่สำคัญอีกศาสตร์หนึ่งที่ได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ในระหว่างปี ค.ศ.1950-1976 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ได้มีการปฏิวัตทางวัฒนธรรม งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬาและกีฬาเวชศาสตร์ของประเทศจีนได้หยุดชะงักลงอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังจากปี ค.ศ.1976 เป็นต้นมา นับเป็นความก้าวหน้าทางวิชาการในแขนงดังกล่าวขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เพราะได้มีการผลิตบุคลากรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาเฉพาะด้าน มีเครื่องมือ อุปกรณ์และโครงการต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาและกีฬาเวชศาสตร์เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม งานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและเวชศาสตร์การกีฬาในประเทศจีนได้เริ่มทำกันอย่างจริงจังในราวกลางศตวรรษที่ 20 โดยได้เริ่มเน้นประเด็นความสำคัญทางวิทยาศาสตร์การกีฬาและกีฬาเวชศาสตร์สมัยใหม่ไปทางด้านการทำวิจัยใน สหวิทยาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จีนได้เริ่มปูพื้นฐานให้ผู้ ที่เกี่ยวข้องในศาสตร์ดังกล่าวได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานวิจัยอย่างมีระบบโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย และได้มีการจัดตั้งองค์กรต่างๆ เพื่อที่จะรองรับ และให้การสนับสนุนงานวิจัยในสาขานี้ และได้มีการตั้งเป้าหมายเฉพาะของการวิจัยในอนาคตของศาสตร์ดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน เพื่อที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
5.2 การวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและเวชศาสตร์
หลายๆ ประเทศในโลกนี้ ได้เริ่มงานวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาและกีฬาเวชาศาสตร์มาตั้งแต่เริ่มต้นศตวรรษที่ 20 หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ได้มีการพัฒนางานวิจัยในศาสตร์สาขานี้หลังสงครามโลกครั้งที่สองสำหรับในประเทศจีน จากปี ค.ศ. 1930-1949 ซึ่งเป็นปีที่จีนได้มีการปฏิวัติทางวัฒนธรรม งานวิจัยในศาสตร์ดังกล่าวยังไม่มีอย่างเด่นชัด แต่ก็ได้มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทางพลศึกษาและกีฬาอยู่บ้างซึ่งก็ยังมีข้อบกพร่องและยังเป็นงานวิจัยที่ไม่เป็นระบบ ถึงแม้จะมีการนำงานวิจัยทางพลศึกษาและกีฬาไปตีพิมพ์ แต่ก็ไม่เป็นที่แพร่หลายและไม่ได้รับการยอมรับ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวประเทศจีนก็ไม่มีองค์กรหลักที่จะรองรับอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่มีความถูกต้องเป็นระบบของประเทศจีนในสาขานี้ได้เริ่มขึ้นหลังปี ค.ศ. 1976
5.3 การพัฒนาในยุคต่อมา
ในปี ค.ศ. 1980 นับได้ว่าเป็นปีแห่งการเริ่มศักราชความก้าวหน้าทางวิชาการทางด้านการวิจัยทางพลศึกษาและการกีฬา ในปีดังกล่าว สถาบันทางพลศึกษาและการกีฬาได้มีการขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง มีนักวิจัยหน้าใหม่เกิดขึ้นมาก มีสถาบันวิจัยทางพลศึกษาและการกีฬาเกิดขึ้นใหม่ไม่ต่อกว่า 20 สถาบัน ทั้งนี้รวมถึงสถาบันวิจัยทางพลศึกษาและการกีฬาของเมืองคุนหมิง สถาบันวิจัยทางกีฬาเวชศาสตร์แห่งเมืองเช็งดุ รวมทั้งสถาบันวิจัยที่เกิดขึ้นในปักกิ่ง จิลิน เจียงสู เจียงซี กันชู และกวงชี และในปลายปี ค.ศ.19861 มีสถาบันวิจัยทางพลศึกษาและการกีฬาในประเทศจีนถึง 31 สถาบัน และมีนักวิจัยทั้งสิ้นประมาณ 1400 คน ในปีเดียวกันนี้ได้มีการจัดตั้งสมาคมวิทยาศาสตร์ทางพลศึกษาและการกีฬาขึ้นเป็นครั้งแรก และได้มีการออกวารสาร ชื่อ Science of Physical Education and Athletics และอีกฉบับหนึ่งชื่อ China Sports Medicine ซึ่งได้เริ่มตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1988 วารสารทั้งสองฉบับนี้ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ปีละ 4 เล่ม โดยมีทั้งฉบับภาษาจีน และภาษาอังกฤษ และได้รับการนิยมอย่างแพร่หลาย นอกจากการพัฒนาในรูปแบบของการจัดตั้งองค์กรใหม่และมีการออกวารสารทางวิชาการด้วยแล้ว กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาศาสตร์ทางด้านดังกล่าวของประเทศจีนก็คือ นักวิจัยชาวจีนจำนวนมากได้มีโอกาสไปเข้าร่วมประชุม สัมมนาทางวิชาการในระดับนานาชาติกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากยิ่งขึ้น การเข้าร่วมประชุมและผู้ร่วมอภิปรายในสาขาต่างๆ อาทิเช่น กีฬาเวชาศาสตร์ ชีวกลศาสตร์ จิตวิทยาการกีฬา ชีวเคมีทางการกีฬา พลศึกษาเปรียบเทียบ ซึ่งการประชุมวิชาการดึงกล่าวเป็นการประชุมวิชาการทางวิทยาศาสตร์การกีฬาของคณะกรรมการโอลิมปิคสากล การประชุมวิชาการทางพลศึกษาและกีฬาของกลุ่มประเทศเอเชีย การประชุมวิชาการทางกีฬาเวชศาสตร์ของประเทศอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศสาธารณรัฐเยอรมัน นักวิชาการบางกลุ่มจะถูกส่งไปดูงานในประเทศต่างๆ ทางแถบยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยเฉพาะการศึกษาดูงานทางด้านการวิจัย และเป้าประสงค์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ความต้องการที่จะทำความร่วมมือทางวิชาการกับประเทศดังกล่าว นอกจากนี้ ประเทศจีนเองก็ได้หาทางจัดสรรเงินทุนในการที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาเยี่ยมเยียนประเทศจีน มาบรรยายพิเศษ จัดการประชุมสัมมนาทางวิชาการและประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ.1980 ได้มีการทำสัญญาความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสมาคมกีฬาเวชาศาสตร์ของจีนกับมหาวิทยากีฬาเวชศาสตร์ของอเมริกา (ACSM) ในปีดังกล่าว นักวิชาการจาก ACSM จำนวนหนึ่งได้เดินทางมายังประเทศจีนเพื่อบรรยายพิเศษและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงวิชาการ ในระหว่างปี ค.ศ.1981 ศาสตราจารย์ Knuttgen จากมหาวิทยาลัยเพนซินวาเนียได้เดินทางมาบรรยายและร่วมประชุมทางวิชาการที่ประเทศจีนถึง 7 ครั้ง ซึ่งการเดินทางมาในปีดังกล่าว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์ความรู้ต่างๆ ในสาขากีฬาเวชศาสตร์อย่างมากมายในระหว่างเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1984 การประชุมทางวิชาการแห่งชาติในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางด้านพลศึกษาและการกีฬาครั้งที่ 3 ได้ถูกจัดขึ้น ในการประชุมครั้งนี้ สมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมได้เห็นพ้องต้องกันว่า ความเจริญก้าวหน้าในสาขาพลศึกษาและการกีฬาจะต้องวางอยู่บนพื้นฐานของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยตรง นั่นก็คือ งานทางด้านวิทยาศาสตร์กีฬานั่นเอง
5.4 ระบบงานวิจัยในสาขาพลศึกษาและการกีฬา
สืบเนื่องมาจากความเห็นที่สอดคล้องกันในการประชุมวิชาการแห่งชาติในสาขาพลศึกษาและการกีฬาครั้งที่ 3 และด้วยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากรัฐบาล หลังจากปี ค.ศ.1984 เป็นต้นมา สถาบันวิจัยและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางด้านพลศึกษาและการกีฬาของประเทศจีนได้เกิดขึ้นอย่างมาก โดยมีโครงสร้างของระบบซึ่งประกอบด้วย
The state Physical Education and Sports Commission
หน่วยงานนี้จะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบงานวิจัยต่างๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสาขาพลศึกษาและการกีฬา ซึ่งประกอบด้วยสถาบันวิจัยแห่งชาติ 4 สถาบันคือ
- สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่ปักกิ่ง
- สถาบันวิจัยระบบสารสนเทศทางกีฬาแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่ปักกิ่ง
- สถาบันวิจัยกีฬาเวชาศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เช็งดุ
- สถาบันวิจัยนวตกรรมและเทคโนโลยีทางการกีฬา ตั้งอยู่ที่คุนหมิง และยังมีสถาบันทางพลศึกษาอี 6 สถาบัน คือ
- สถาบันพลศึกษาปักกิ่ง
- สถาบันพลศึกษาเซี่ยงไฮ้
- สถาบันพลศึกษาเช็งดุ
- สถาบันพลศึกาสีเอียน
- สถาบันพลศึกษาวู่หัน
- สถาบันพลศึกษาเซ็นหยาง
สมาคมพลศึกษาและการกีฬาแห่งชาติของจีน คณะกรรมการบริหารของสมาคมนี้จะเป็นกลุ่มนักวิชาการและนักวิจัยที่มาจากสมาคมกีฬาประเภทต่างๆ การบริหารงานของสมาคมจะได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากรัฐบาล และส่วนหนึ่งจะได้มาจากเงินรายได้ของสมาคมกีฬา ซึ่งจะได้นำมาใช้จ่ายในการจัดการเกี่ยวกับการทำงานวิจัยตลอดจนการเผยแพร่ผลงานวิจัย ปัจจุบัน ประเทศจีนมีนักวิจัยในศาสตร์ดังกล่าวมากมาย และกลุ่มที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นคณะกรรมการาบริหารของสมาคม โดยขณะนี้จะมีจำนวน 19 คนที่มาจากสมาคมกรีฑา สมาคมกีฬาเวชศาสตร์ สมาคมชีวกลศาสตร์ทางการกีฬา สมาคมสารสนเทศทางพลศึกษาและการกีฬา สถาบันวิจัยทางด้านอุปกรณ์และเครื่องมือทางกีฬา และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาของประเทศจีน
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งชาติของประเทศจีน ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ.1958 ที่ปักกิ่ง วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถาบันวิจัยแห่งนี้ในช่วงเวลานั้นก็เพื่อจะให้เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้ ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬา และเพื่อจะเป็นแหล่งสำหรับการให้ความรู้กับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในศาสตร์ต่างๆ ที่เป็นสหวิทยาการของวิทยาศาสตร์การกีฬา นักศึกษาที่ผ่านการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้จะได้รับปริญญาโทในสาขาต่างๆ ดังกล่าว ปัจจุบัน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งชาติได้มีการทำความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลกประมาณ 20 ประเทศ (หมายเหตุ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬามลฑณยูนนาน เมืองคุนหมิง ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับภาควิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2538 ) สำหรับโครงสร้างของสถาบันแห่งนี้ จะประกอบด้วยภาควิชาต่างๆ 8 ภาควิชา มีศูนย์วิจัยกลางเป็นห้องทดลองของศาสตร์ต่างๆ มีหน่วยสารสนเทศซึ่งจะเป็นหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น สำหรับภาควิชาต่างๆ ทั้ง 8 ภาควิชา ได้แก่
- Athletic Training
- Ball Games Training ซึ่งจะรวบรวมเอาหน่วยวิจัยที่เกี่ยวกับจิตวิทยาการกีฬาไว้ในหน่วยนี้
- Sports Biomechanics
- Mass Sports
- Sports Medicine
- Exercise Physiology
- Sports Theory
- Sport Instrumentation
5.5 ความต้องการในอนาคตเกี่ยวกับนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬาของประเทศจีน
จากการศึกษาย้อนหลังไป 30 ปี พบว่าสิ่งที่นักวิจัยชาวจีนจะต้องคำนึงถึง คือ
1. สัมฤทธิผลทางด้านพลศึกษาและการกีฬาจะก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใด ความสำคัญและความจำเป็นตลอดจนความต้องการในศาสตร์ที่เกี่ยวกับทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาก็ยิ่งมีความสำคัญและเป็นเงื่อนไขที่ต้องเพิ่มพูนให้มากยิ่งขึ้น
2. นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬาจะต้องตื่นตัวและขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับเทคนิคและทักษะต่างๆ ทางกีฬา และหากต้องการศึกษาในกีฬาเฉพาะด้านก็จะต้องรู้อย่างลึกซึ้งในทักษะต่างๆ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของการวิจัย
3. นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬาจะต้องมีความรู้ ความชำนาญในภาษาต่างประเทศอย่างน้อย 1 ภาษา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของการที่จะได้รับความรู้และประสบการณ์จากนักวิจัยประเทศอื่นๆ
4. นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬาจะต้องมีจรรยาบรรณของนักวิจัย กล่าวคือ จะต้องมีความซื่อสัตย์ ตั้งใจ มานะ อดทน มีความคิดริเริ่ม และให้เกียรติ หากมีการนำผลงานวิจัยของนักวิจัยคนอื่นมาใช้ในการอ้างอิง
5. เพื่อที่จะให้งานทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาของจีนได้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมีคุณภาพ จะต้องเร่งผลิตผู้นำนักวิจัยหน้าใหม่ รัฐบาลจะต้องเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็น และให้การสนับสนุนโดยพยายามให้ประสบการณ์โดยการส่งนักวิจัยเหล่านั้นไปต่างประเทศให้มากขึ้น
5.5 ความสำเร็จที่สำคัญอันเป็นผลเนื่องมาจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬา
ความเจริญก้าวหน้าทางพลศึกษาและการกีฬาของประเทศจีนได้เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917 ในระยะต่อมาเมื่อแนวความคิดได้เปลี่ยนไปโดยการนำเอาพื้นฐานความรู้ในสหวิทยาการของวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็มีดรรชนีชี้ให้เห็นถึงความเจริญเติบโตอย่างเด่นชัด อาทิเช่น ในปี ค.ศ.1980 ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างทางร่างกาย ความสามารถในการใช้ทักษะต่างๆ ในการเคลื่อนไหวเพื่อการกีฬา สมรรถภาพทางกาย โดยได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยนักวิจัยและครูพลศึกษาประมาณ 1500 คน จากนักเรียนทั่วประเทศทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ข้อมูลทั้งหมดที่ได้ นักวิจัยได้นำมาสร้างเกณฑ์ปกติเกี่ยวกับโครงสร้างทางด้านร่างกายของเด็กชาวจีนในระดับอายุที่ต่างกัน และเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะเป็นดรรชนีชี้ให้เห็นถึงมาตรฐานของการจัดการศึกษา การจัดการดูแลรักษาพยาบาล ตลอดจนการพลศึกษา การกีฬาและวิทยาศาสตร์การกีฬาของประเทศจีน ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นงานชิ้นโบว์แดงที่มีความสำคัญมากของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งชาติซึ่งรัฐบาลได้ให้การับรองอย่างเข็มแข็ง
5.6 เกณฑ์ในการคัดเลือกนักกีฬา
หลายปีที่ผ่านมา จีนได้คัดเลือกนักกีฬาทีมชาติโดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ฝึกสอน แต่หลังจากที่ได้มีการศึกษาและทำการวิจัยในหัวข้อเรื่อง การใช้เกณฑ์มาตรฐานเพื่อการคัดเลือกนักกีฬา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา สถาบันต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ได้พยายามประสานสัมพันธ์กันในการที่จะนำเอาศาสตร์ที่สามารถประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกนักกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างปี ค.ศ. 1980-1982 ความร่วมมือที่จะทำเกณฑ์มาตรฐานในเรื่องนี้ได้เริ่มขึ้น โดยได้นำผลงานวิจัยประมาณ 123 เรื่อง มาศึกษาและตั้งเป็นเกณฑ์ขึ้นมา เนื้อหาที่สำคัญที่ได้นำมาตั้งเป็นเกณฑ์สำหรับกผารคัดเลือกนั้นก็จะดูจากเรื่องราวต่างๆ ของนักกีฬา ทั้งในด้านโครงสร้างของร่างกาย คุณภาพของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ความสามารถในการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย สภาวะทางด้านจิตใจ และกรรมพันธุ์ในระยะแรกที่ได้มีการตั้งเกณฑ์มาตรฐานขึ้น เกณฑ์นี้จะเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกนักกีฬารวม 5 ประเภท คือนักกีฬา นักว่ายน้ำ นักยิมนาสติก นักวอลเลย์บอล และนักฟุตบอล ซึ่งผลที่ได้จากการคัดเลือกนักกีฬาประเภทต่างๆ ดังกล่าว รวมทั้งการที่ได้มีการทุ่มเทในการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ ทำให้จีนมีนักกีฬาที่เป็นแชมป์เปี้ยนระดับโลกในหลายๆ ประเภท ในแต่ละมณฑลด้วย และผลที่ได้ตามมาก็คือทำให้จีนได้ตัวนักกีฬาที่มีความสามารถเฉพาะด้านค่อนข้างชัดเจน และผลงานวิจัยที่ใช้สำหรับคัดตัวนักกีฬาที่ใช้ในครั้งนั้น ทำให้ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับชาติรัฐบาลจีนในปี ค.ศ. 1985
5.7 การใช้ผลงานวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะทางกีฬา
ปัจจุบันนี้ นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬาได้มีผลงานยอดเยี่ยมในการนำผลวิจัยมาพัฒนาทักษะทางด้านการฝึกวิ่งระยะสั้นและเทเบิลเทนนิส สำหรับการพัฒนาทักษะการวิ่งระยะสั้น ได้ใช้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับชีวกลศาสตร์ และการเสริมสร้างความแข็งแรงของเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง การทดลองดังกล่าวใช้เวลาถึง 3 ปี และหลังจากที่ได้มีการฝึกฝนอย่างเต็มที่แล้วปรากฏว่า นักวิ่งระยะสั้นชาวจีนได้ทำลายสถิติการแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์ในรายการวิ่งระยะทาง 100 เมตร และวิ่งผลัด 4 x 100 ซึ่งสถิติดังกล่าวยังไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้ตั้งแต่เอเซี่ยนเกมส์ครั้งที่ 10 ที่ประเทศเกาหลีในปี ค.ศ. 1986 สำหรับเทเบิลเทนนิส ได้มีนักวิจัยที่เป็นผู้ฝึกสอนสนใจศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังเป็นจำนวนถึง 10 คน ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีหลักการที่จะต้องพัฒนาทักษะเพื่อไปสู่ความเป็นเลิศอยู่ 5 ทักษะหลักด้วยกัน คือ จะต้องพัฒนาทางด้านความแม่นยำ ความเร็ว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การตีลูก spin และการทำ placement ซึ่งทักษะต่างๆ เหล่านี้ จำเป็นจะต้องใช้ทษฏีร่วมกับการฝึกฝนทางด้านกลศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์ การศึกษาดังกล่าว นักวิจัยได้รวบรวมรูปแบบของการเล่นเอาไว้ถึง 10 รูปแบบ รูปแบบของการเสิร์ฟเทเบิลเทนนิส 20 วิธี และทักษะเฉพาะตัวนักกีฬาซึ่งนักกีฬาแต่ละคนสามารถจะเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมกับความสามารถของตนเองอีกถึง 214 ทักษะ ซึ่งทักษะต่างๆ เหล่านี้ได้มีการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเหมาะสมเรียบร้อยแล้ว งานวิจัยที่ได้มีการศึกษาและทดลองใช้เพื่อการพัฒนาทักษะเฉพาะด้านของนักกีฬาดังกล่าว ได้ถูกนำไปทดลองใช้กับนักกีฬาประเทศต่างๆ ทั่วโลก และต่างก็ยอมรับกันว่าเป็นเทคนิคที่ดี สามารถนำมาใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม
5.8 การนำเอาความรู้และเทคนิคทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาสมัยใหม่มาใช้
หลังจากปี ค.ศ. 1982 ความสามารถในการนำเอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาสมัยใหม่มาใช้กับ กิจกรรมทางกีฬาของประเทศจีน ได้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคของระบบไฟฟ้า ได้ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์การกีฬาและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับนักกีฬาตัวอย่างของการประยุกต์เอาความรู้และเทคนิคทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาสมัยใหม่มาใช้ได้แก่
1. การใช้คอมพิวเตอร์สำหรับการวิเคราะห์ทักษะและเทคนิคการเล่นวอลเลย์บอล
2. เครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบความเร็วของนักกีฬาว่ายน้ำน้ำของแต่ละคน ในการแข่งขันว่ายน้ำแบบผลัดผสม การทดสอบดังกล่าวจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า YJ-B เพื่อดูข้อมูบในการทำความเร็วของนักกีฬาแต่ละคนในแต่ละช่วง
3. การได้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับลักษณะท่าทางของการวิ่งของนักกีฬาของนักกีฬาแต่ละคนในการวิ่งระยะสั้นเพื่อจะได้นำเอาท่าทางเหล่านั้นมาวิเคราะห์ต่อไป
4. คอมพิวเตอร์เพื่อการทดสอบความเร็วในการวิ่ง
5. การถ่ายภาพลักษณะท่าทางการแสดงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของนักกีฬา
6. เครื่องมือยิงลูกเทเบิลเทนนิสเพื่อฝึกฝนการรับ
7. เครื่องมือสำหรับนวดนักกีฬาเมื่อยู่ในน้ำ
8 . อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับการแข่งขันกรีฑา เป็นต้น
ปัจจุบัน ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีความเชื่อและมีปรัชญาในการพัฒนาการกีฬา โดยการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการจัดการ การตัดสินใจ การฝึกสอน และการวิจัย จากพื้นฐานของความเชื่อดังกล่าว ทำให้จีนได้เริ่มที่จะทำการศึกษาเพื่อการวางแผนการพัฒนาทางด้านการกีฬาในอนาคตในเรื่องต่างๆ เช่น การกีฬาของจีนในปี ค.ศ. 2000 ซึ่งเนื้อหาความสำคัญของการศึกษาในเรื่องนี้ก็คือ พยายามที่จะสอดงแทรกแนวความคิดสมัยใหม่ของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้าไปใช้เพื่อการพัฒนากีฬาของชาติ หรือ การศึกษาเทคนิคและทักษะการตบลูกวอลเลย์บอลของนักกีฬาวอลเลย์บอลที่มีชื่อเสียง ซึ่งการศึกษาการใช้เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ได้ใช้เทคนิคการตบลูกวอลเลย์บอลจากนักกีฬาที่มีชื่อเสียงของอเมริกาและญี่ปุ่น เทคนิคที่ใช้ก็คือ พยายามให้นักกีฬาได้ฝึกฝนการตบลูกวอลเลย์บอลในจุดที่แตกต่างกันทั้งในฐานะฝ่ายรุกและฝ่ายรับ การใช้เทคนิคและทักษะเฉพาะด้านของการตบลูกวอลเลย์บอล ทำให้ทีมวอลเลย์บอลหญิงของจีนได้รับความสำเร็จจากการแข่งขันวอลเลย์บอลระดับโลกหลายครั้ง นอกจากนี้ จีนขังได้มีความสนใจในการที่จะศึกษาหารูปแบบในการที่จะจัดองค์กรทางการกีฬาของจีนให้มีความทันสมัย เป็นที่ยอมรับของระดับนานาชาติ เพราะจีนมีความเชื่อว่า หากได้มีการติดต่อ และเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับต่างประเทศแล้วก็จะเป็นหนทางในการที่จะทำให้การพัฒนาทางการกีฬาไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น จากการศึกษาการจัดองค์กรทางการกีฬาของประเทศอเมริกา โซเวียตรัสเซีย เยอรมัน และคิวบา จีนได้นำข้อมูลพื้นฐานเหล่านั้นมาวางระบบการจัดการ การทำโครงสร้างและการจัดการเกี่ยวกับคณะกรรมการโอลิมปิกของประเทศจีนเอง
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารงานและการจัดการในการพัฒนากีฬาของจีนได้ดำเนินไปอย่างมีทิศทาง จีนได้วางวัตถุประสงค์หลักของงานวิจัยแม่บท ซึ่งจะต้องทำให้สำเร็จไว้ดังนี้ คือ
1. ศึกษาโครงสร้างทางด้านร่างกายของเด็กชาวจีน คนงาน ข้าราชการ ผู้ฝึกงานในหน่วยงานต่างๆ ทั้งหญิงและชาย
2 . ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการฝึกทักษะมวยจีนกับการหายใจในระหว่างการฝึก ทั้งนี้เพื่อหาข้อสรุปของกีฬาประเภทนี้เพื่อจัดให้เป็นข้อค้นพบประจำชาติ
3. กระบวนการการคัดเลือกนักกีฬารุ่นใหม่โดยใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์การกีฬา
4. การวิเคราะห์ทักษะของนักกีฬาการประเมินความสามารถทางการเคลื่อนไหวและการฝึกทางจิต
5. โภชนาการสำหรับนักกีฬา การให้ยาและการกำจัดความเหนื่อยล้า
6. การพัฒนาทักษะต่างๆ ทางกรีฑา ว่ายน้ำ และฟุตบอล
7. การทดสอบการใช้สารกระตุ้นสำหรับนักกีฬา
8. การสร้างระบบสารสนเทศกับการพัฒนากีฬาในยุคโลกาภิวัตน์
9. การพัฒนาการสร้างเครื่องมือและเครื่องอำนวยความสะดวกทางกีฬา
10. การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการพัฒนากีฬา
หัวข้องานวิจัยทั้ง 10 หัวข้อนี้ เป็นหัวข้อสำคัญที่นักวิจัยชาวจีนต้องหาคำตอบและข้อสรุปออกมาให้ได้และเป็นที่ยอมรับตรงกันว่า การทำงานวิจัยทั้ง 10 หัวข้อจะต้องมีการประสานสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และจะต้องมีความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันในหลายๆ สาขาวิชา เช่น การศึกษา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตลอดจนจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาคมกีฬาแห่งชาติ
จากประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการทั้งหมดดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นว่า วิทยาศาสตร์การกีฬาของประเทศจีน มีรากฐานมาจากพลศึกษาและการกีฬาโดยตรง การเปลี่ยนแปลงนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากความเจริญก้าวหน้าที่ได้มาจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพลศึกษาและการกีฬาของจีนจึงได้กลายเป็นวิทยาศาสตร์การกีฬาในยุคปัจจุบัน
1. วิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นศาสตร์ที่มีมาช้านานแล้ว แต่จะบูรณาการอยู่กับศาสตร์ทาง พลศึกษา
2. จากความเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์การกีฬา จึงทำให้มีการยอมรับว่าองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาจะช่วยผสมผสานในการพัฒนาให้บุคคลเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี และพัฒนาให้บุคคลมีความสามารถทางการกีฬาจนไปสู่ความเป็นเลิศได้
3. จากพื้นฐานของแนวคิดดังกล่าว แผนพัฒนากีฬาแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 1 ( พ.ศ. 2531-2539) ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2540-2544) ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2545-2549) จึงได้มีแผนงานหลักที่เกี่ยวกับ การพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์การกีฬา ปรากฏอยู่ด้วยเสมอ ก็โดยหลักการที่ว่าจะนำเอาองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งประกอบด้วยศาสตร์ทางสาขาสรีรวิทยาการออกกำลังกาย จิตวิทยาการกีฬา ชีวกลศาสตร์ทางการกีฬา เวชศาสตร์การกีฬา โภชนศาสตร์การกีฬาและการฝึกทางการกีฬา มาประยุกต์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาให้นักกีฬาได้ใช้ความสามารถจนไปสู่ความเป็นเลิศ
4. เพื่อให้การกีฬาของประเทศได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้ สถาบันอุดมศึกษาก็ควรจะได้วางเป้าหมายในการพัฒนากีฬา โดยให้สอดคล้องกับแผนพัฒนากีฬาแห่งชาติที่ได้กำหนดไว้ สถาบันอุดมศึกษานับได้ว่าเป็นสถาบันที่มีบทบาทสำคัญและมีศักยภาพสูงในการที่จะช่วยพัฒนากีฬาแห่งชาติ โดยนำเอาวิทยาศาสตร์การกีฬามาเป็นฐานในการสร้างกรอบเพื่อการพัฒนา เหตุผลของการมีศักยภาพทางสถาบันอุดมศึกษา มีดังนี้
4.1 เป็นสถาบันที่มีโครงสร้างขององค์กรที่มีความเหมาะสมในการที่จะเสริมสร้างความเข็มแข็ง ในการผลิตบุคลากรในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาได้ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี จนถึงระดับปริญญาเอก
4.2 เป็นแหล่งรวมของทรัพยากรที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในศาสตร์แต่ละด้านของวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างเข้มแข็งและเพียงพอ
4.3 เป็นศูนย์รวมของแหล่งวิทยาการเพื่อการวิจัย ทดลอง การศึกษา หาข้อค้นพบใหม่ๆ เพื่อจะเป็นพื้นฐานข้อมูลของการพัฒนานักกีฬาสู่ความเป็นเลิศอย่างเป็นระบบและมีขั้นตอน
4.4 เป็นแหลงรวมของกลุ่มบุคคลเป้าหมาย (อายุระหว่าง 18-22) ซึ่งเป็นช่วยของอายุที่จะสามารถได้รับการฝึกฝนและไปสู่ความเป็นเลิศได้ง่าย นอกจากนี้กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะเป็นเครือข่ายในการเผยแพร่ศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาให้เป็นที่แพร่หลาย และสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและต่อประเทศชาติในภาพรวมต่อไปได้ด้วย
4.5 เป็นสถาบันที่มีความพร้อมสูงทางด้านอาคาร สถานที่ สนามกีฬา ยิมเนเซียม อุปกรณ์กีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในอันที่จะเสริมให้การพัฒนาศาสตร์แขนงนี้ได้ดำเนินไปได้มากยิ่งขึ้น
5. แนวทางในการพัฒนาวิทยาศาสตร์การกีฬาในสถาบันอุดมศึกษา
5.1 จะต้องจัดให้มีการเรียนการสอนกิจกรรมพลศึกษา ซึ่งถือเป็นกิจกรรมการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาพื้นฐาน สำหรับนิสิตนักศึกษาทุกคนในสถาบนอุดมศึกษา ขณะเดียวกันผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องพยายามสอดแทรกความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้าไปด้วย เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
5.2 เร่งพัฒนาบุคลากรทางวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาเฉพาะด้านอย่างแท้จริง เพื่อที่บุคลากรเหล่านั้นจะได้ไปเป็นผู้นำในศาสตร์ต่างๆ อย่างเข้มแข็งทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
5.3 ส่งเสริมและสนับสนุน ให้มีหน่วยงานทางด้านกีฬามารองรับอย่างชัดเจน ปัจจุบันนี้ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างชัดเจนแล้วว่า กิจกรรมการออกกำลังกายและการเล่นกีฬานั้น จัดว่าเป็นกิจกรรมหลักที่สำคัญที่จะช่วยพัฒนานิสิตนักศึกษาได้ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา และความมีระเบียบวินัย กิจกรรมการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง และสามารถทำกิจกรรมได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น หากสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งจะมีหน่วยงานมารองรับอย่างชัดเจน (เช่น สำนักการกีฬา หรือศูนย์ส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ ฯลฯ) ก็จะช่วยให้การทำกิจกรรมต่างๆ มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
5.4 เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาเป็นแหล่งรวมขององค์ความรู้ และองค์ความรู้ใหม่ๆ จะเกิดขึ้นได้ก็โดยการศึกษา ทดลอง และวิจัย ดังนั้นควรจะหาหนทางสนับสนุนและส่งเสริมในมีการจัดตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การกีฬา ในสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถาบันที่มีความพร้อมสูงและมีศักยภาพเพียงพอ เนื่องจากสถาบันเหล่านี้เป็นสถาบันผู้ผลิตอยู่แล้ว จึงย่อมจะมีอุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งพร้อมที่จะนำไปสู่การทำงานวิจัย ผลที่ได้จากการวิจัย ก็จะนำไปสู่การพัฒนากีฬาของชาติได้ในอนาคต แนวคิดที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการวิจัยคือ สถาบันใดมีความพร้อมหรือมีความสนใจในศาสตร์แขนงใดก็ควรจะเสริมความเข้มแข็งในศาสตร์ด้านนั้น เพื่อที่แต่ละสถาบันจะได้ไม่ทำงานวิจัยที่ซ้ำซ้อนกัน
5.5 สนับสนุนให้มีการคิดและทำกิจกรรมต่างๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างต่อเนื่อง เพราะสื่อต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้ทุกๆ ฝ่ายได้มีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และขณะเดียวกันก็จะเป็นการช่วยเสริมความรู้ให้กับผู้ที่เข้ามาร่วมได้อย่างต่อเนื่อง นับเป็นการขยายเครือข่ายที่จะได้ประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ
5.6 สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ควรให้การสนับสนุนในเรื่องงบประมาณตามศักยภาพและความเป็นไปได้ (ควรให้บ้างแต่ไม่ใช่ไม่ให้เลย) เพื่อการขยายงานในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา
5.7 จะต้องมีการวางระบบการบริหาร และการจัดการให้มีความเหมาะสมและทันสมัย ระบบการบริหารและการจัดการนั้นจะต้องเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาในภาพรวมด้วย
5.8 ผู้นำของสถาบันอุดมศึกษาจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและให้ความสนใจเอาใจใส่ในเรื่องอย่างจริงจัง เพราะผู้นำจะเป็นผู้วางนโยบายการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์การกีฬา หากสถาบันอุดมศึกษาใดมีผู้นำที่สามารถลงมาเล่นเองได้ สถาบันอุดมศึกษานั้นย่อมได้เปรียบในแง่ของการพัฒนาศาสตร์นี้ต่อไป
|