จะเห็นได้ว่า  เมื่อสัญญาณประสาทที่ส่งมาสิ้นสุดลง แคลเซียมไอออนจะถูกเก็บเข้าสู่เทอร์มินอล  ซิสเตอนา โดยขบวนการที่ต้องใช้พลังงาน โดยมีแคลเซียม เอทีพีเอส ปั๊ม (Ca2+-ATPase pump)  ซึ่งอยู่ที่เยื่อหุ้ม (membrane) ของซาร์โคพาสมิค เรติคูลัม  ทำหน้าที่ในการนำแคลเซียมกลับเข้าสู่ซาร์โคพาสมิค เรติคูลัม มีผลทำให้ โทรโปนินไอ  เปิดตำแหน่งที่จับของมัยโอซินบนสานแอคติน หัวของมัยโอซินจะหลุดจากที่จับ มีผลทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว  ในกรณีที่แคลเซียม  เอทีพี เอช ปั๊ม  ถูกยับยั้งการทำงานไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม จะทำให้เกิดการหดตัวเกร็งค้าง (contracture) ของกล้ามเนื้อได้  กลไกตั้งแต่เกิดศักย์ไฟฟ้าขณะทำงานของกล้ามเนื้อจนกระทั่งกล้ามเนื้อหดและคลายตัวนี้  เรียกว่า กลไกการเร้าให้เกิดการหดตัวควบคู่กัน (excitation contraction  coupling) 
                                    
                                      
                                        
                                          - ชนิดของการหดตัวของกล้ามเนื้อ 
 
                                        
                                      
                                    
                                    การหดตัวของกล้ามเนื้อแบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกันคือ
                                        การหดตัวแบบไอโซเมตริค (Isometric contraction) เป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อโดยที่ความยาวของกล้ามเนื้อทั้งมัดไม่เปลี่ยนแปลง  แต่แรงตึงในกล้ามเนื้อเปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ตามในระดับของเส้นใยกล้ามเนื้อ  องค์ประกอบที่สำคัญเกี่ยวกับการหดตัวก็สามารถหดตัวได้  การเกร็งกล้ามเนื้ออยู่กับที่ในลักษณะนั้นมีประโยชน์ในการป้องกันการลีบของกล้ามเนื้อที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว  เช่น การเข้าเฝือกนานๆ 
                                        การหดตัวแบบไอโซโทนิค (Isotonic contraction) เป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อโดยที่ความตึงของกล้ามเนื้อไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ความยาวของกล้ามเนื้อเปลี่ยนแปลงไป   แรงตึงจากการหดตัวของกล้ามเนื้อมีมากกว่าแรงต้าน จึงเกิดการเคลื่อนไหว เช่น  การงอข้อศอกยกตุ้มน้ำหนักของกล้ามเนื้อไบเซป (biceps brachii)  จะเห็นว่ากล้ามเนื้อหดตัวสั้นลงเพื่อยกตุ้มน้ำหนักคงที่ตลอดช่วงการเคลื่อนไหว  การหดตัวแบบไอโซโทนิค แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
                                        การหดตัวแบบคอนเซนตริค (concentric contraction) เป็นการหดตัวลักษณะที่
                                      กล้ามเนื้อหดสั้นเข้าโดยที่จุดเกาะต้นและจุดเกาะปลายเคลื่อนที่เข้าหากัน  เช่นการกาง การหุบแขน เป็นต้น 
                                  การหดตัวแบบเอคเซนตริค (eccentric contraction) เป็นการหดตัวลักษณะที่กล้ามเนื้อยืดยาวออก  (lengthening contraction) โดยที่กล้ามเนื้อพยายามรักษาความตึงตัวเพื่อต้านต่อแรงดึงดูดของโลก  โดยที่จุดเกาะต้นและจุดเกาะปลายเคลื่อนห่างจากกัน  การเคลื่อนไหวทุกชนิดในทิศทางตามแรงดึงดูดของโลก  ถูกควบคุมโดยการหดตัวแบบเอคเซนตริค เช่น การนั่ง การลงนั่งยองๆ การล้มลงนอน  การเดินลงบันได เป็นต้น
      การหดตัวแบบไอโซคิเนติค (Isokinetic  contraction) เป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อโดยมีความเร็วของการเคลื่อนคงที่  การทำให้กล้ามเนื้อหดตัวในลักษณะนี้  จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือซึ่งสามารถปรับแรงต้านในขณะที่เกิดการเคลื่อนไหว  เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานด้วยความเร็วคงที่ เช่น Cybex  การหดตัวแบบไอโซคิเนติค  สามารถป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อในช่วงการเคลื่อนไหวที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้จะสามารถปรับแรงต้านทานเพื่อทำให้กล้ามเนื้อหดตัวด้วยความเร็วคงที่ได้  แต่มีข้อเสียคือราคาแพง
                                      ในการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อนั้น  ควรให้กล้ามเนื้อหดตัวในลักษณะไอโซเมตริคและไอโซโทนิค  ควบคู่กัน ในชีวิตประจำวันบางครั้งกล้ามเนื้ออาจเกิดการหดตัว  ในลักษณะที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความยาวของกล้ามเนื้อไปพร้อมๆ  กับการเปลี่ยนแปลงแรงตึงของกล้ามเนื้อ เช่นการง้างคันธนู  การหดตัวของกล้ามเนื้อลักษณะนี้เรียกว่า การหดตัวแบบออกโซโทนิค (auxtonic contraction)   
                                      การหดตัวของกล้ามเนื้อในร่างกายมักเกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อไอโซเมตริคและไอโซโทนิค  ร่วมกัน เช่น การยกวัตถุซึ่งมีน้ำหนักขึ้นจากโต๊ะ  ในระยะแรกการหดตัวของกล้ามเนื้อเป็นแบบไอโซเมตริค  เพื่อให้แรงหดตัวมีค่าเพิ่มขึ้นจนเท่ากับน้ำหนักของวัตถุ จากนั้นจึงสามารถยกวัตถุขึ้นได้หรือเกิดการหดตัวแบบไอโซโทนิค 
                                    5.3  ชนิดของเส้นใยกล้ามเนื้อลาย   
                                      ใยของกล้ามเนื้อลายมีโครงสร้างและหน้าที่แตกต่างกัน  เช่น ใยของกล้ามเนื้อลายมีสีต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนมัยโอโกลบิน (myoglobin) ซึ่งมีอยู่ในกล้ามเนื้อ  โดยทำให้กล้ามเนื้อมีสีแดง และทำหน้าที่เก็บออกซิเจน  ดังนั้นกล้ามเนื้อที่มีมัยโอโกลบิลมากจึงเรียกว่า red muscle fiber  ส่วนกล้ามเนื้อที่มีมัยโอโกลบิลน้อยจึงเรียกว่า  white muscle fiber  ใยกล้ามเนื้อลายนั้นหดตัวด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในกาสลาย ATP  ซึ่งขึ้นอยู่กับขบวนการเมตะบอลิซึม  ในการใช้และสร้าง ATP  เช่นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวลูกนัยน์ตา  มีช่วงการหดตัวเพียง1/40 วินาที ส่วนกล้ามเนื้อ gastrocnemius  มีช่วงการหดตัวเพียง1/5 วินาที ซึ่งหมายความว่าช่วงการหดตัวต่างๆของกล้ามเนื้อนั้นได้ปรับตัวตามความเหมาะสมกับลักษณะการทำงาน  เพื่อให้ทันต่อการมองเห็นสิ่งต่างๆที่ผ่านไปมาหรือเคลื่อนไหวทั้งเร็วและช้า ขณะที่  กล้ามเนื้อ gastrocnemius  จะหดตัวด้วยความเร็วปานกลางจึงทำให้การเคลื่อนไหวได้เร็วในการวิ่งหรือกระโดดเป็นต้น  แต่กล้ามเนื้อ soleus ใช้สำหรับรักษาท่าทางของร่างกายจึงไม่ต้องการความรวดเร็ว  (ชูศักย์: 2536) ใยกล้ามเนื้อลายสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกันคือ
                                      1. ใยกล้ามเนื้อออกซิเดถีฟชนิดหดตัวช้า  (slow-oxidative fiber) มีลักษณะของใยกล้ามเนื้อมีมัยโอซินเอทีพีเอช  มีประสิทธิภาพต่ำ แต่มีความสามารถในการสร้างเอทีพีแบบใช้ออกซิเจน  (oxidative capacity) สูง จึงทำให้มีความทนทานต่อการล้าสูง (fatique  resistance) บางครั้งเรียกว่า  Type I
                                      2.  ใยกล้ามเนื้อออกซิเดถีฟชนิดหดตัวเร็วา (fast-oxidative  fiber) มีลักษณะของใยกล้ามเนื้อมีมัยโอซินเอทีพีเอช  มีประสิทธิภาพสูง และมีความสามารถในการสร้างเอทีพีแบบใช้ออกซิเจน  (oxidative capacity) สูง จึงทำให้มีความทนทานต่อการล้าปานกลาง(fatique  resistance) บางครั้งเรียกว่า Type IIa
                                      3.  ใยกล้ามเนื้อกลัยโคลัยติคชนิดหดตัวเร็ว (fast glycolytic  fiber) มีลักษณะของใยกล้ามเนื้อมีมัยโอซินเอทีพีเอช มีประสิทธิภาพต่ำ  แต่มีความสามารถในการสร้างเอทีพีแบบไม่ใช้ออกซิเจน (glycolytic  capacity) สูง  ทำให้ได้พลังงานจำกัด จึงเกิดการล้าอย่างรวดเร็ว  บางครั้ง 
                                      เรียกว่า Type IIb ( เฉลิมพร : 2537) 
                                      กล้ามเนื้อส่วนใหญ่ประกอบด้วยใยกล้ามเนื้อลายทั้ง  3 ชนิด ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน  กล้ามเนื้อลายที่มีสัดส่วนเส้นใยชนิดหดตัวเร็วมาก  เหมาะสำหรับการใช้งานในกิจกรรมซึ่งอาศัยพลังอย่างรวดเร็ว เช่นการกระโดด  หรือการวิ่งระยะสั้น   มีสัดส่วนเส้นใยชนิดหดตัวช้าหรือใยกล้ามเนื้อสีแดงมาก  เหมาะสำหรับการใช้งานในกิจกรรมซึ่งกล้ามเนื้อทำงานต่อเนื่องติดต่อกันนานๆ เช่น  การยืน การนั่ง การ เดิน กล้ามเนื้อหลังที่ทำงานทำให้ลำตัวตั้งตรงตลอดเวลา  ในการแข่งขันกีฬาเช่น วิ่งมาราธอน 
                                     5.4  การทำงานของหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหว(motor unit)
                                      หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหว  เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในการเคลื่อนไหวของร่างกาย หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวนี้ประกอบไปด้วยระบบประสาทและกล้ามเนื้อ  กล่าวคือ จะมีเซลล์ประสาท 1 ตัว (motor neuron) รวมกับจำนวนเส้นใยของกล้ามเนื้อ (muscle fiber) ที่แอกซอน  (axon) ของเซลล์ประสาทนั้นไปจับอยู่  จำนวนเซลล์ของกล้ามเนื้อในแต่ละหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวแตกต่างกันออกไป เช่น  หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของกล่องเสียงมีเซลล์ของกล้ามเนื้อเพียง 2-3 เซลล์   หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตามีเซลล์ของกล้ามเนื้อเพียง 5-6  เซลล์  แต่หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อน่อง(gastrocnemius)  มีเซลล์กล้ามเนื้อถึง 2,000 เซลล์ 
                                      ในการที่จะให้กล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเคลื่อนไหวได้  ก็จะต้องใช้จำนวนหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวแตกต่างกันไป เช่น เราจะให้นิ้วมือเคลื่อนไหวได้  ก็จะต้องใช้จำนวนหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งซึ่งน้อยกว่าจะให้ใช้มือยกน้ำหนัก  10 กิโลกรัม ในขณะที่ทำงานดังกล่าวต่อไปเรื่อยๆ  จำนวนหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อส่วนนั้นจะถูกใช้เป็นจำนวนมากขึ้น  ยิ่งทำเป็นเวลานานๆ จนกระทั้งเมื่อยล้า  อาจจะใช้จำนวนหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมดที่มีอยู่  ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณแรงงานที่ได้จากแต่ละหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวจะค่อยๆ  ลดน้อยลง ในขณะที่ทำงานต่อไปเรื่อยๆ  จึงทำให้ต้องเรียกใช้จำนวนหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวที่เหลืออยู่ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เพื่อให้การทำงานนั้นดำเนินต่อไปได้ แต่เมื่อเรียกจนหมดแล้ว และยังทำงานต่อไป  แรงงานก็จะค่อยๆลดลงไปจนหมดไม่สามารถทำงานได้ต่อไป  เมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็มีองค์ประกอบอื่นมาเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเหน็ดเหนื่อยของกล้ามเนื้ออีก  ดังจะกล่าวต่อไป
                                    
                                                    Richard W.Bowres and Edward L.Fox.1992  ได้จำแนกหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหว ออกเป็น 3 ชนิดคือ
                                    
                                      - หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นใยกล้ามเนื้อสีขาว  มีลักษณะหดตัวได้เร็ว และเหน็ดเหนื่อยเร็ว (fast contraction with fast fatique)
 
                                      - หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นใยกล้ามเนื้อสีแดง  มีลักษณะหดตัวได้เร็ว และแต่ไม่ค่อยเหน็ดเหนื่อยเร็ว (fast contraction but  fatique resistance )
 
                                      - หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นใยกล้ามเนื้อแดง  มีลักษณะหดตัวได้ช้าและเหน็ดเหนื่อยช้า(slowe contraction with fatique resistance)
 
                                    
                                    การฝึกกล้ามเนื้อไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นใยกล้ามเนื้อได้  แต่จะเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติแต่ละหน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวไปทางใดทางหนึ่งได้มากขึ้นเท่านั้น  ทั้งนี้เนื่องจากจำนวนเส้นใยกล้ามเนื้อสีแดงและสีขาวและระบบประสาทจะถูกกำหนดโดยพันธุกรรม  ซึ่งการฝึกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชนิดเส้นใยกล้ามเนื้อได้  ในบางครั้งเราจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างละมุนละไม  หรือมีความสัมพันธ์กันดีโดยไม่ขัดตา ทั้งนี้เนื่องจากการใช้หน่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นใยกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างกลมกลืนและต่อเนื่องกัน 
                                                    การหดตัวของกล้ามเนื้อต้องอาศัยพลังงานที่ได้จากการสลายอินทรีย์สารเคมี  ซึ่งมีอยู่ในกล้ามเนื้อที่เรียกว่า  ATP(adenosine tri-phosphate) สารนี้จะสังเคราะห์กลับคืนใหม่ได้โดยใช้พลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร  โดยเฉพาะกลัยโคเจน(น้ำตาล) และไขมัน ในกล้ามเนื้อ  ทำให้กล้ามเนื้อสามารถหดตัวซ้ำติดต่อกันไปได้เป็นเวลานาน  ในภาวะที่กล้ามเนื้อทำงานไม่หนักมากแต่ติดต่อกันเป็นเวลานาน  กล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนจากเลือดเพียงพอที่จะใช้ออกซิไดส์ กลัยโคเจนและไขมันให้เกิดพลังงานในการสังเคราะห์  ATP ขึ้นมาใหม่  ของเสียที่เกิดจากการออกซิไดส์คือคาร์บอนไดออกไซด์  และน้ำจะถูกพาออกไปจากกล้ามเนื้อโดยกระแสเลือด  การออกกำลังกายแบบนี้เราเรียกว่าแบบใช้ออกซิเจน (aerobic exercise) ซึ่งได้แก่ในนักกีฬาที่เล่นติดต่อกันเป็นเวลานานค่อนข้างสม่ำเสมอเช่น  วิ่งระยะไกล แต่ถ้ากล้ามเนื้อต้องทำงานหนักเต็มที่ติดต่อกัน(ระยะเวลาสั้น)  พลังงานในการสังเคราะห์ ATP ขึ้นมาใหม่จะได้จากการสลายไกลโคเจนโดยไม่ใช้ออกซิเจน(การออกซิไดส์เกิดช้าไม่ทันการ)  ของเสียที่เกิดขึ้นคือ กรดแลคติก ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้า(fatigue) การออกกำลังกายแบบนี้เราเรียกว่าแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic  exercise) ได้แก่ การวิ่งระยะสั้น การเร่งเต็มที่เพื่อเข้าเส้นชัย  เป็นต้น
                                      สมรรถภาพของร่างกายที่จะทำงานโดยได้รับออกซิเจนเพียงพอ (Aerobic Capacity)
                                      ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของระบบการไหลเวียนเลือด  ระบบการหายใจ  และตัวกล้ามเนื้อเองที่จะได้รับออกซิเจน 
                                      สมรรถภาพของร่างกายที่จะทำงานโดยไม่ใช้ออกซิเจนเพียงพอ (Anaerobic Capacity) ขึ้นอยู่กับความสามารถของกล้ามเนื้อที่จะฝืนทำงานต่อไปทั้งๆ  ที่มีกรดเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามหลังการออกกำลังกายจะต้องมีการรับออกซิเจนมากกว่าภาวะปกติเพื่อนำไปออกซิไดส์กรดแลคติกให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ  เท่ากับเป็นการทำงานโดยติดหนี้ออกซิเจน(oxygen debt)nแล้วมาชดใช้เมื่อหยุดออกกำลังกาย
                                      ในกีฬาประเภทที่เล่นติดต่อกันเป็นเวลานานแต่มีลักษณะไม่สม่ำเสมอ  เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล แบดมินตัน ฟุตบอล ฯลฯ  การทำงานของกล้ามเนื้อจะเป็นแบบผสมคือบางครั้งต้องใช้สมรรถภาพของร่างกายที่จะทำงานโดยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ  และบางครั้งสมรรถภาพของร่างกายที่จะทำงานโดยไม่ใช้ออกวิเจนเพียงพอ 
                                    5.5 การทำงานของกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกาย
                                      การหดตัวของกล้ามเนื้ออาศัยพลังงานที่ได้จากการสลายสารอินทรีย์เคมี  ซึ่งมีอยู่ในกล้ามเนื้อที่เรียกว่า ATP(Adenosine Triposphere) สารนี้จะสังเคราะห์กลับคืนใหม่โดยชัพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร  โดยเฉพาะไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อสามารถหดตัวซ้ำติดต่อกันได้เป็นระยะเวลานาน  ในภาวะที่กล้ามเนื้อทำงานไม่หนักมาก แต่ติดต่อกันเป็นเวลานาน  กล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนจากเลือดเพียงพอที่จะใช้ออกซิเจน (aerobic exercise)  ได้แก่ในนักกีฬาที่เล่นติดต่อกันสม่ำเสมอเป็นเวลานาน เช่น วิ่งะยะไกล  ว่ายน้ำระยะไกล แต่ถ้ากล้ามเนื้อทำงานหนักเต็มที่ติดต่อกันพลังงานที่ใช้ได้จากการสลายไกลโคเจน  โดยไม่ใช้ออกซิเจน (การออกซิไดส์เกิดขึ้นช้าไม่ทันการ)  ของเสียที่เกิดขึ้นคือกรดแลคติก ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า (fatigue) การออกกำลังกายแบบนี้เรียกว่า  การออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic exercise)  ได้แก่การวิ่งระยะสั้น เป็นต้น 
                                                    
                                    สมรรถภาพร่างกายที่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ  (aerobic capacity) ขึ้นอยู่กับความสามารถของกล้ามเนื้อเอง   อย่างไรก็ตามหลักการออกกำลังกายจะต้องมีการรับออกซิเจนมากกว่าปกติเพื่อนำไปออกซิไดส์กรดแลคติกให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ  เท่ากับเป็นการทำงานโดยติดหนี้ออกซิเจนไว้ (oxygen  debt) แล้วมาชดใช้เมื่อหยุดออกกำลังกาย  ในกีฬาที่เล่นติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน แต่มีลักษณะไม่สม่ำเสมอ เช่น ฟุตบอล  วอลเลย์บอล แบดมินตัน เป็นต้น การทำงานของกล้ามเนื้อจะเป็นแบบผสม คือบางครั้งทำงานโดยใช้สมรรถภาพร่างกายแบบใช้ออกซิเจน (aerobic exercise)  และบางครั้งทำงานโดยใช้สมรรถภาพร่างกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic  exercise)
                                    
                                    
                                    
                                    ผลของการฝึกที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อ 
                                    
                                    
                                      - กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น (Hypertrophy) โดยการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ  (การฝึกความทนทานจะไม่ทำให้ขนาดของกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น) โดยการเพิ่มโปรตีนในแต่ละเส้นใยกล้ามเนื้อ(จำนวนเส้นใยไม่เพิ่ม) 
 
                                      - เพิ่มการกระจายของหลอดเลือดฝอย  ในกล้ามเนื้อโดยเฉพาะการฝึกคามทนทานทำให้กล้ามเนื้อสามารถรับออกวิเจนได้มากขึ้น 
 
                                      - การสะสมสารอาหารต่างๆ  มากขึ้น เช่น ไกลโคเจน ATP   มัยโอโกลบิน วิตามิน เกลือแร่ เอ็นไซม์ มากขึ้น 
 
                                      - เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานการใช้ออกวิเจนของกล้ามเนื้อและการใช้พลังงานของกล้ามเนื้อ  เกิดแลคติกช้า และการฟื้นตัวเร็วขึ้น