การฝึกซ้อมกีฬาเป็นกระบวนการที่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบแบบแผนมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าได้ เพื่อส่งเสริมหรือพัฒนานักกีฬาให้มีขีดความสามารถสูงสุดตามลำดับ ยิ่งกว่านั้นในการกำหนดจุดประสงค์ของการฝึกที่ชัดเจนจะทำให้สามารถเลือกรูปแบบการฝึกและกิจกรรมการฝึกที่ถูกต้องเหมาะสมได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการฝึกนักกีฬาและผู้ฝึกสอนจะต้องเข้าใจกำของการฝึกซึ่งประกอบด้วย

  1. กฎของการฝึกมากกว่าปกติ (law of Overload)
  2. กฎของการย้อนกลับ (Law of Reversibility)
  3. กฎของความเฉพาะเจาะจง (Law of Specificity)

                5.1  กฎของการฝึกมากกว่าปกติ (law of Overload)
                ร่างกายของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมต่างๆทั้งภายในร่างกายและนอกร่างกาย เช่นเมื่อรับประทานอาหารร่างกายจะเกิดการย่อยสลายสารอาหารต่างภายในร่างกายนำพลังงานที่ได้ไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป เช่นการเคลื่อนไหว การหายใจ เป็นต้น หรือแม้แต่การที่อยู่ในสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันร่างกายจะปรับตัวเช่นกัน ในขณะเดียวกันการฝึกซ้อมกีฬาในรูปแบบหรือแบบฝึกต่างๆ ร่างกายจะปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อแบบฝึกนั้นเช่นเดียวกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความหนักของการฝึก ระยะเวลาของการฝึก กิจกรรมของการฝึก เป็นต้น ความหนักของการฝึก(load) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง การให้น้ำหนักในการฝึกมากหรือน้อยเพียงใดจะเป็นสิ่งบ่งบอกทิศทางของการพัฒนาของร่างกาย และเมื่อหยุดให้น้ำหนักหรือความหนักในการฝึกร่างกายก็จะหยุดตอบสนองเช่นเดียวกันและสมรรถภาพทางกายที่พัฒนาอยู่เดิมนั้นก็จะลดเสื่อมลง
การฝึกมากกว่าปกติ (Overload Training) หมายถึงการให้ความหนักในการฝึกที่มากกว่าภาวะปกติที่นักกีฬาสามารถกระทำได้เพื่อพัฒนาร่างกายสมรรถภาพทางกาย ทักษะ เทคนิคต่างๆให้ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันต้องควบคู่ไปกับการพักเพื่อให้ร่างกายได้ชดเชยพลังงานที่สูเสียไปและซ่อมแซมส่วนที่สึกหล่อด้วย กล่าวคือ เมื่อมีการฝึกร่างกายจะสูญเสียพลังงานและเนื้อเยื่อต่างๆเดการฉีกขาด หลังจากการฝึกซ้อมหรือการแข่งขันจะต้องมีระยะเวลาในการหยุดพักให้เพียงพอหรือเหมาะสมเพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ฟื้นตัวจากอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า การฝึกในรอบต่อไปหรือวันต่อไปจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดลดปัญหาการบาดเจ็บและการฝึกซ้อมมากเกินไป (Over Training)
เมื่อมีการฝึกซ้อมร่างกายจะเกิดอาการล้าจากของเสียที่เกิดขึ้นในร่างกายโดยเฉพาะกรดแลคติก(lactic acid) เพราะฉะนั้นจะต้องมีการหยุดพักเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวและชดเชยพลังงาน(Compensation) ไม่ว่าจะเป็นการหยุดพักระหว่างรอบหรือเที่ยวการฝึก การหยุดพักระหว่างเซทการฝึก หรือการหยุดพักระหว่างวันต่อวันของการฝึก เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฝึกในรอบหรือครั้งต่อไป

                5.2  กฎของการย้อนกลับ (Law of Reversibility)
ผลจากการฝึกจะทำให้ร่างกายเกิดการพัฒนาสมรรถภาพทางกายด้านต่างๆที่มีการฝึกจะดีขึ้นป็นลำดับตามรูปแบบการฝึก  การฝึกที่มีความต่อเนื่องร่างกายจะมีการเจริญเติบโตและพัฒนาต่อเนื่องเช่นเดียวกันในทางตรงกันข้ามถ้าไม่มีการฝึกอย่างต่อเนื่องสมรรถภาพทางกายที่ดีนั้นจะค่อยเสื่อมลงตามกาลเวลา เพราะฉะนั้นนักกีฬาและผุ้ฝึกสอนจึงมีการวางแผนการฝึกเพื่อคงสภาพสมรรถภาพทางกายไว้ในระดับที่ต้องการไม่ให้เสื่อมหายไป และยิ่งกว่านั้นการคงสภาพระดับสมรรถภาพไว้จะทำให้นักกีฬาและผู้ฝึกสอนสามารถเริ่มโปรแกรมการฝึกที่ระดับที่สูงขึ้นได้ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง ฉะนั้นนักกีฬาเมื่อจบฤดูกาลแข่งขันแล้วจะต้องมีการฝึกซ้อมต่อเนื่องเพื่อคงระดับสมรรถภาพทางกายไว้แต่ปริมาณและความหนักของการฝึกซ้อมอาจไม่ต้องเข้มข้นมากเหมือนช่วงฤดูการแข่งขัน  โดยปกติแล้วนักกีฬาที่ดีจะมีการฝึกเพื่อคงสภาพสมรรถภาพทางกายไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 50-60 เปอร์เซ็นต์

                5.3  กฎของความเฉพาะเจาะจง (Law of Specificity)

                กฎของความเฉพาะเจาะจงเป็นกฎการฝึกเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของนักกีฬาให้สูงขึ้นแบบเฉพาะให้เหมาะสมกับบุคคล ชนิดกีฬา ตำแหน่งการเล่น ระยะเวลาและระยะทางการแข่งขัน เป็นต้น การฝึกองค์ปรกอบพื้นฐานของทักษะ สมรรถภาพทางกายจะต้องมีการฝึกเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันเช่น ความแข็งแรง ความเร็ว กำลัง ความอ่อนตัว เป็นต้น แต่ความเฉพาะเจาะจงของแต่ละตำแหน่งการเล่น ระยะเวลา ระยะทางการแข่งขันจะทำให้การฝึกมีความเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่นทักษะกีฬาฟุตบอลจะเหมือนกันทั้งทีมแต่แต่ละตำแหน่งจะมีความแตกต่างกันไปเช่นผู้รักษาประตู เป็นต้น ทักษะนักวิ่งระยะสั้นกับระยะไกล เป็นต้น




         
กลับหน้าหลัก กลับหัวข้อการเรียน กลับหน้าก่อน หน้าถัดไป