การฝึกซ้อมกีฬาเป็นกระบวนการที่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง  เป็นระบบแบบแผนมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าได้  เพื่อส่งเสริมหรือพัฒนานักกีฬาให้มีขีดความสามารถสูงสุดตามลำดับ  ยิ่งกว่านั้นในการกำหนดจุดประสงค์ของการฝึกที่ชัดเจนจะทำให้สามารถเลือกรูปแบบการฝึกและกิจกรรมการฝึกที่ถูกต้องเหมาะสมได้  เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการฝึกนักกีฬาและผู้ฝึกสอนจะต้องเข้าใจกำของการฝึกซึ่งประกอบด้วย  
                                        
                                          - กฎของการฝึกมากกว่าปกติ (law of Overload)
 
                                          - กฎของการย้อนกลับ (Law of Reversibility)
 
                                          - กฎของความเฉพาะเจาะจง  (Law of Specificity)
 
                                         
                                                        5.1  กฎของการฝึกมากกว่าปกติ (law of Overload) 
                                                            ร่างกายของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมต่างๆทั้งภายในร่างกายและนอกร่างกาย  เช่นเมื่อรับประทานอาหารร่างกายจะเกิดการย่อยสลายสารอาหารต่างภายในร่างกายนำพลังงานที่ได้ไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป  เช่นการเคลื่อนไหว การหายใจ เป็นต้น  หรือแม้แต่การที่อยู่ในสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันร่างกายจะปรับตัวเช่นกัน ในขณะเดียวกันการฝึกซ้อมกีฬาในรูปแบบหรือแบบฝึกต่างๆ  ร่างกายจะปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อแบบฝึกนั้นเช่นเดียวกัน  ซึ่งขึ้นอยู่กับความหนักของการฝึก ระยะเวลาของการฝึก กิจกรรมของการฝึก เป็นต้น  ความหนักของการฝึก(load) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง  การให้น้ำหนักในการฝึกมากหรือน้อยเพียงใดจะเป็นสิ่งบ่งบอกทิศทางของการพัฒนาของร่างกาย  และเมื่อหยุดให้น้ำหนักหรือความหนักในการฝึกร่างกายก็จะหยุดตอบสนองเช่นเดียวกันและสมรรถภาพทางกายที่พัฒนาอยู่เดิมนั้นก็จะลดเสื่อมลง  
                                          การฝึกมากกว่าปกติ  (Overload Training) หมายถึงการให้ความหนักในการฝึกที่มากกว่าภาวะปกติที่นักกีฬาสามารถกระทำได้เพื่อพัฒนาร่างกายสมรรถภาพทางกาย  ทักษะ เทคนิคต่างๆให้ดีขึ้น  แต่ขณะเดียวกันต้องควบคู่ไปกับการพักเพื่อให้ร่างกายได้ชดเชยพลังงานที่สูเสียไปและซ่อมแซมส่วนที่สึกหล่อด้วย  กล่าวคือ เมื่อมีการฝึกร่างกายจะสูญเสียพลังงานและเนื้อเยื่อต่างๆเดการฉีกขาด  หลังจากการฝึกซ้อมหรือการแข่งขันจะต้องมีระยะเวลาในการหยุดพักให้เพียงพอหรือเหมาะสมเพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ฟื้นตัวจากอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า  การฝึกในรอบต่อไปหรือวันต่อไปจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดลดปัญหาการบาดเจ็บและการฝึกซ้อมมากเกินไป  (Over Training) 
                                          เมื่อมีการฝึกซ้อมร่างกายจะเกิดอาการล้าจากของเสียที่เกิดขึ้นในร่างกายโดยเฉพาะกรดแลคติก(lactic acid)  เพราะฉะนั้นจะต้องมีการหยุดพักเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวและชดเชยพลังงาน(Compensation) ไม่ว่าจะเป็นการหยุดพักระหว่างรอบหรือเที่ยวการฝึก  การหยุดพักระหว่างเซทการฝึก หรือการหยุดพักระหว่างวันต่อวันของการฝึก เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฝึกในรอบหรือครั้งต่อไป  
                                                        5.2  กฎของการย้อนกลับ (Law of Reversibility) 
                                          ผลจากการฝึกจะทำให้ร่างกายเกิดการพัฒนาสมรรถภาพทางกายด้านต่างๆที่มีการฝึกจะดีขึ้นป็นลำดับตามรูปแบบการฝึก   การฝึกที่มีความต่อเนื่องร่างกายจะมีการเจริญเติบโตและพัฒนาต่อเนื่องเช่นเดียวกันในทางตรงกันข้ามถ้าไม่มีการฝึกอย่างต่อเนื่องสมรรถภาพทางกายที่ดีนั้นจะค่อยเสื่อมลงตามกาลเวลา  เพราะฉะนั้นนักกีฬาและผุ้ฝึกสอนจึงมีการวางแผนการฝึกเพื่อคงสภาพสมรรถภาพทางกายไว้ในระดับที่ต้องการไม่ให้เสื่อมหายไป  และยิ่งกว่านั้นการคงสภาพระดับสมรรถภาพไว้จะทำให้นักกีฬาและผู้ฝึกสอนสามารถเริ่มโปรแกรมการฝึกที่ระดับที่สูงขึ้นได้  โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง  ฉะนั้นนักกีฬาเมื่อจบฤดูกาลแข่งขันแล้วจะต้องมีการฝึกซ้อมต่อเนื่องเพื่อคงระดับสมรรถภาพทางกายไว้แต่ปริมาณและความหนักของการฝึกซ้อมอาจไม่ต้องเข้มข้นมากเหมือนช่วงฤดูการแข่งขัน   โดยปกติแล้วนักกีฬาที่ดีจะมีการฝึกเพื่อคงสภาพสมรรถภาพทางกายไว้ไม่ให้ต่ำกว่า  50-60 เปอร์เซ็นต์  
                                                        5.3  กฎของความเฉพาะเจาะจง (Law of Specificity) 
                                                        กฎของความเฉพาะเจาะจงเป็นกฎการฝึกเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของนักกีฬาให้สูงขึ้นแบบเฉพาะให้เหมาะสมกับบุคคล  ชนิดกีฬา ตำแหน่งการเล่น ระยะเวลาและระยะทางการแข่งขัน เป็นต้น  การฝึกองค์ปรกอบพื้นฐานของทักษะ สมรรถภาพทางกายจะต้องมีการฝึกเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันเช่น  ความแข็งแรง ความเร็ว กำลัง ความอ่อนตัว เป็นต้น  แต่ความเฉพาะเจาะจงของแต่ละตำแหน่งการเล่น ระยะเวลา  ระยะทางการแข่งขันจะทำให้การฝึกมีความเฉพาะที่แตกต่างกัน  เช่นทักษะกีฬาฟุตบอลจะเหมือนกันทั้งทีมแต่แต่ละตำแหน่งจะมีความแตกต่างกันไปเช่นผู้รักษาประตู  เป็นต้น ทักษะนักวิ่งระยะสั้นกับระยะไกล เป็นต้น                                        
                                         
                                                                                |