ความสามัคคีกับความสามารถทางการกีฬา( Group Cohesion and Performance)
เมื่อกล่าวถึง ความสามัคคี มักจะมองต่อไปถึงคุณค่าของความสามัคคีทำให้เกิดผลประโยชน์อะไรบ้างต่อการเล่นกีฬา ความสามัคคีจำเป็นมากต่อการเล่นกีฬาประเภททีม เพราะถ้านักกีฬาสามัคคีกัน หรือรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ย่อมีผลต่อความสามารถในการเล่น การประสานสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนรวมทีมที่ช่วยในการเล่นและแข่งขันกันอย่างมี่ประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของทีมได้อย่างดี
ความสามัคคีในกลุ่มเป็นกระบวนการของความสัมพันธ์ต่อเนื่อง หากสมาธิกลุ่มยังมีความสัมพันธ์กันความสามัคคีจะพัฒนาตามไปด้วย เมื่อมีการรวมกลุ่มเป็นเวลานานจะเกิดกฎ ระเบียบและข้อตกลงภายในกลุ่มจะเพิ่มมากขึ้น การผูกพัน การมีความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกลุ่มมากขึ้น และมีจุดมุ่งหมายของกลุ่มเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการการประสานสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกลุ่ม มีการจัดปรับความเข้าใจ เมื่อเดข้อขัดแย้งทางความคิดเห็นประสานความคิดเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของกลุ่ม นอกจานนี้ข้อเท็จจริงอีกประการคือ ความสามัคคีเป็นความสัมพันธ์แบบ 2 ทางทั้งการให้และการรับ เกิดการคาดหวังผลระหว่างสมาชิกกลุ่มด้วยกันเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายกลุ่มที่ตั้งไว้ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างและทำลายความเป็นทีมได้
10.1 ความสามัคคีกับความสามารถทางการกีฬาทีม( Cohesion and sport group performance)
จากทฤษฎีจะเห็นว่า ความสามัคคีทำให้งานลดลงเพื่อเทียบกับจำนวนผู้ปฏิบัติ แม้ว่าความสามัคคีดูเหมือนว่าจะทำให้ได้งานน้อยกว่าหรือปริมาณงานลดลง แต่ในการกีฬา ความสามัคคีกลับเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเล่นและการแข่งขันประเภททีม ทั้งโค้ชและนักกีฬาต่างเห็นความสำคัญและพยายามสร้างความสามัคคีในกลุ่ม
ความสามัคคีกับการกีฬา หมายถึงมีความเป็นหนึ่งเดียวในการร่วมมือกันเพื่อสร้างพลังงานในการแข่งขัน เพื่อให้ได้ชัยชนะ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นเพราะมีผลต่อความสามารถในการเล่นและแข่งขัน ความสำเร็จของทีม และมีผลต่อแรงจูงใจในการใช้ความพยามยามมากขึ้น ลักษณะของความสามัคคีหรือการรวมกลุ่มแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ
1. การรวมกลุ่มทางสังคม ( Social cohesion) ส มาชิกกลุ่มรวมกันเพราะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกันที่เรียกว่า ความเป็นทีมเดียวกันหรือทีมสปิริต (Team spirit) เกิดความรู้สึกเอื้ออาทร ค วามห่วงใย ค วามชอบระหว่างบุคคลที่ทำให้การเล่นกีฬาสนุกสนานมากขึ้น
2. การรวมกลุ่มด้วยงาน ( Task cohesion) สมาชิกกลุ่มรวมกันเพราะต้องการให้ทีมหรือกลุ่มประสบผลสำเร็จในงาน หรือบรรลุตามจุดมุ่งหมายร่วมกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าการประสานสัมพันธ์ที่ดีภายในทีมหรือการมีทีมเวอร์ค (Teamwork) หรือการประสานกันอย่างดีระหว่างเพื่อนร่วมทีม หากในภาษากีฬา คือ เล่นเข้าขา กันอย่างดี นอกจากนี้
(สืบสาย บุญวีรบุตร :2541)
คาร์ทไรท์ ( Cartwright model, 1968) ได้เสนอทฤษฎีความสามัคคี ที่กล่าวถึงองค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อความสามัคคี ร วมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างความสามัคคีและความสามารถในการเล่นกีฬา ดังนี้ (อ้างถึงใน สืบสาย บุญวีรบุตร :2541)
1. ลักษณะกีฬาที่ต้องการประสานงานกันระหว่างผู้เล่นและ/ หรือลักษณะงานที่ต้องร่วมมือกัน เช่น กีฬาบาสเกตบอล หรือกีฬาฟุตบอล นักกีฬาต้องมีการเล่นที่มีการประสานกันจึงจะทำให้ทีมชนะได้ ดังนั้นโค้ชควรจัดประสบการณ์เพื่อสร้างและพัฒนาการประสานกันระหว่างนักกีฬาเพื่อให้แต่ละคน ประสบผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ และประสบผลตามจุดมุ่งหมายของทีม
2. ความมั่นคงของทีม ขนาดและความเหมือนกันระหว่างสมาชิกกลุ่ม หมายถึง ระยะเวลาของความเป็นทีม ประวัติ ความเป็นมาของทีม ทั้งประวัติการแข่งขัน สถิติการแพ้ ชนะ และลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกกลุ่ม ล้วนมีผลต่อความมั่นคงของทีม และแน่นอนที่สุดมีผลต่อความสามัคคีของทีมและความสามารถในการประสานการเล่นระหว่างนักกีฬาในทีม เพื่อเพิ่มความสามารถในการเล่นกีฬาระหว่างนักกีฬา
3. ลักษณะความคล้ายคลึงกันระหว่างสมาชิก เช่น เชื้อชาติ ศาสนา ลักษณะที่พักทางภูมิศาสตร์ระดับฐานทางเศรษฐกิจ ล้วนมีผลต่อการพัฒนาความสามัคคีในทีมทั้งสิ้น
4. ขนาดของทีมก็มีผลต่อความสามัคคีด้วยหากทีมมีขนาดใหญ่ขึ้น ความสามัคคีจะลดลงอย่างเป็นสัดส่วน ดั้งนั้นหากกีฬาทีมที่มีขนาดใหญ่จึงควรมีการจัดแยกกลุ่มย่อยในการสร้างเสริมความสามัคคี
5. การประสบผลสำเร็จ และความสามัคคีทั้งระดับความสามารถที่ใกล้เคียงกัน และประวัติความสำเร็จเป็นปัจจัยหนุนให้เกิดความสามัคคีในทีมจากทฤษฎีนี้ โค้ชควรเข้าใจถึงกระบวนการสร้างความสามัคคีให้ดียิ่งขึ้น เพราะความสามัคคีไม่ใช่การสั่งให้เกิดแต่เป็นเพราะเวลา กระบวนการ และการจัดประสบการณ์ให้เกิด ซึ่งเมื่อเกิดแล้ว สามารถลดหรือสูญหายได้ตามเวลาเช่นเดียวกัน
10.2 วิธีการสร้างเสริมความสามัคคี
เมื่อเข้าใจถึงธรรมชาติและกระบวนการเกิดความสามัคคี ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอแนะในการสร้างความสามัคคี
1. เพิ่มแรงจูงใจรายบุคคล ใ นการสร้างแรงจูงใจรายบุคคลในกลุ่มทำได้โดยการใช้ระบบแบบสนับสนุน การย้ำถึงนักกีฬาที่เล่นดี และเล่นไม่ดี ทำให้นักกีฬาใช้ความพยามยามมากขึ้น นอกจากนี้โค้ชควรหาเวลาทำความรู้จักและศึกษานักกีฬาเป็นรายคน
2. การให้แรงเสริมโดยการให้แรงเสริมทั้งที่เป็นคำพูดชมเชยทั้งที่ไม่เป็นคำพูด การให้ทันทีหลังการทำดี แ ต่ในขณะเดียวกัน คือ การให้แรงเสริมในปริมาณที่พอเหมาะยุติธรรม เท่าเทียม ไม่อย่างนั้นแล้ว การให้แรงเสริมจะกลายเป็นการทำลายมากกว่าการสร้างความสามัคคีในกลุ่ม
3. การกระทำที่ภาคภูมิใจ ทั้งทีมและเป็นรายบุคคล ตลอดจนการสร้างจุดมุ่งหมายและการใช้ความพยายามที่จะบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ทั้งเป็นรายบุคคลและรายทีมจะเป็นการสร้างความภาคภูมิใจ ให้ทั้งตนเองและทีม
|