การบาดเจ็บจากการกีฬา

การบาดเจ็บจากกีฬาได้จากกีฬาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกีฬาเพื่อการพักผ่อนหรือการแข่งขันกีฬาอาชีพก็ได้ การบาดเจ็บนี้อาจเกิดจากอุบัติเหตุขณะแข่งขันหรือฝึกซ้อมกีฬา หรือเกิดจากการใช้งานอย่างหนักทำให้เกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อต่างๆ ที่อ่อนล้าและรับกำลังไม่ได้ ลักษณะการบาดเจ็บจากกีฬาไม่แตกต่างจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากการทำงานหรืออุบัติเหตุในชีวิตประจำวันได้ ส่วนใหญ่การบาดเจ็บจากกีฬามักไม่รุนแรง นักกีฬาที่บาดเจ็บสามารถทำงานในชีวิตประจำวันได้ แต่อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาการบาดเจ็บจากกีฬาก็มุ่งหวังเพื่อให้นักกีฬาสามารถกลับไปเล่นกีฬาได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะนักกีฬาอาชีพควรได้รับการดูแลวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อให้สามารถกลับไปเล่นกีฬาในสภาพเดิมในเวลาอันสั้น

2.1 ประเภทกีฬา

กีฬาแบ่งออกเป็นหลายประเภทแต่ละประเภทมีโอกาสทำให้เกิดการบาดเจ็บที่แตกต่างกันออกไปในที่นี้ขอแบ่งประเภทของกีฬาตาม American Academy of Physicians Committee on Sports Medicine ซึ่งแบ่งกีฬาตามลักษณะการเล่นกีฬาเป็น 3 ระดับ คือ

1. กีฬาปะทะ ( contact and collision) เป็นกีฬาที่มีการใช้กำลังเข้าปะทะกัน กีฬาประเภทนี้มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บขณะแข่งขันสูงมาก กีฬาประเภทนี้ได้แก่ มวย ฮ๊อกกี้ รักบี้ ฟุตบอล ยูโด มวยปล้ำ ศิลปะป้องกันตัว เป็นต้น

2. กีฬาที่มีการกระทบกระแทกจำกัด ( limited contact and impact) เป็นกีฬาที่ไม่เจตนาเข้าปะทะกัน แต่มีโอกาสกระทบกระแทกกันบ้าง รวมทั้งกีฬาที่มีโอกาสกระแทกกับพื้นหรือของแข็งอื่นๆ กีฬาประเภทนี้มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เช่นกัน กีฬาประเภทนี้ได้แก่ บาสเกตบอล วอลเลย์บอล สคอซ สเก็ต ขี้ม้า ยิมนาสติก กระโดดสูง กระโดดค้ำถ่อ จักรยาน กระโดดน้ำ เป็นต้น

3. กีฬาที่ไม่มีการกระทบกระแทก ( no contact) กีฬาประเภทนี้ยังแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆ อีก 3 ประเภท ตามการใช้กำลังในการเล่นกีฬา ได้แก่

3.1 กีฬาที่ใช้กำลังมาก ( strenuous) เป็นกีฬาที่ต้องใช้กำลังของกล้ามเนื้อมาก ทำให้มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บจากการใช้กำลังของกล้ามเนื้อ กีฬาประเภทนี้ได้แก่ การฟันดาบ การเต้นแอโรบิค ทุ่มน้ำหนัก พุ่งแหลน วิ่ง ว่ายน้ำ เทนนิส ยกน้ำหนัก เป็นต้น

3.2 กีฬาที่ใช้กำกลังปานกลาง ( moderate strenuous) มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บน้อย เช่น แบดมินตัน ปิงปอง เป็นต้น

3.3 กีฬาที่ใช้กำลังน้อย (nonstrenous) มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บน้อยมาก เช่น กอล์ฟ หมากกระดาน ยิงปืน ยิงธนู เป็นต้น

2.2 ส่วนของร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ

การบาดเจ็บที่เกิดจากกีฬาส่วนใหญ่เป็นการบาดเจ็บเกี่ยวเนื่องกับอวัยวะที่เคลื่อนไหวและมีการใช้กำลังการบาดเจ็บจากกีฬาพบบ่อยที่สุดที่กล้ามเนื้อ รองลงมาได้แก่ เอ็นของกล้ามเนื้อ ( tendon) เอ็นของข้อต่างๆ ( ligament) และกระดูก นอกจากนี้ยังพบภาวการณ์บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ เช่น แผลพอง อาการฟกช้ำ ตะคริว ปวดท้อง ปวดหลัง เป็นลมแดด ฯลฯ เป็นต้น ส่วนของร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่อยู่บริเวณขาและเท้าประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ มือ แขน และไหล่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ลำตัวประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ศีรษะ และคอประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้การเสียชีวิตจากการเล่นกีฬาก็พบได้เสมอๆ ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุขณะแข่งขัน เช่น ถูกรถชน จมน้ำ ฯลฯ การเสียชีวิตที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น โรคหัวใจ เป็นลมแดด เป็นต้น

2.3 ลักษณะของแรงกระทำต่อเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อเอ็นกระดูกและข้อ

1. แรงดึง ( Traction force) แรงดึงที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อและเอ็นขึ้นกับพื้นที่หน้าตัดของกล้ามเนื้อและเอ็นนั้น หากพื้นที่หน้าตัดกว้างขึ้นแรงก็จะกระจายออกไปทำให้ tensile stress ลดลง หากพื้นผิวเล็กลง เช่น บริเวณรอยต่อของกล้ามเนื้อและเอ็นจะทำให้ tensile stress บริเวณนั้นสูง

2. แรงกด ( Compression force) แรงกดที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวกับพื้นที่ผิวที่รับน้ำหนัก หากพื้นผิวที่รับน้ำหนักน้อยต้องรับน้ำหนักมา ย่อมทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น ดังนั้นในข้อเข่าที่หมอนรองกระดูกฉีกขาดพื้นผิวของข้อจะลดลงทำให้กระดูกอ่อนรับแรงเพิ่มขึ้นและมีโอกาสได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น

3. แรงดัน ( Bending force) แรงดัดที่เกิดขึ้นบนกระดูกทำให้เกิดการดัดโค้ง มีด้านที่เป็น compression และด้านที่เป็น tension แรงดัดที่ทำให้บาดเจ็บ เช่น ในขณะเล่นสกี เมื่อล้มและเท้าตรึงกับพื้นก็มีแรงดัดเกิดขึ้นที่กระดูกหน้าแข็งทำให้กระดูกหักแบบ Transverse

4. แรงบิด (Twisting or tension force) แรงบิดที่เกิดขึ้นบนกระดูกทำให้กระดูกหักแบบ Spiral fracture เช่น ในขณะเล่นสเก็ต และเกิดแรงบิดหมุนที่ขาทำให้กระดูกหน้าแข็งหักแบบ Spiral fracture ได้

5. แรงเฉือน ( Shear stress) แรงเฉือนเกิดขึ้นกับพื้นผิวที่มีการเคลื่อนที่ในแนวทางตรงข้ามกัน แรงที่เกิดขึ้นอาจมีปริมาณมาก เช่น แรงเฉือนบนกรรไกรที่สามารถตัดของที่แข็งๆ ได้ ในข้อเข่าขณะที่เข่ามีแรงบิดหมุนด้านตรงข้ามของข้อจะมีแรงในทิศทางตรงข้าม ทำให้เอ็นและหมอนรองกระดูกในเข่าฉีกขาดได้ นอกจากนี้แรงเฉือนบริเวณเอวในข้อกระดูกสันหลังซึ่งมีลักษณะโค้งแบบ lordosis ทำให้กระดูกสันหลังหักเลื่อนได้ เช่น ในนักยิมนาสติก

6. แรงซ้ำซาก ( Repeated load) ทำให้เกิดความกล้ามของเนื้อเยื่อต่างๆ และกระดูก ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ เช่น กระดูกหน้าแข็งหักในนักวิ่งระยะไกล อาการเอ็นอักเสบจากแรงดึงของเอ็น เช่น Tennis elbow ซึ่งมีแรงดึงเกิดขึ้นติดต่อกันนานๆ จนร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่ได้รับบากเจ็บได้ทัน ( พงษ์ศักดิ์ : 2546 อ้างถึงใน วิทยาศาสตร์การกีฬากับการพัฒนานักเรียน)

2.4 สาเหตุการบาดเจ็บทางกีฬา

การบาดเจ็บทางกีฬาอาจเกิดขึ้นได้กันทุกส่วนของร่างกาย ในปีหนึ่งๆ มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือถึงกับเสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อย การบาดเจ็บทางกีฬาอาจเกิดที่ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ ข้อต่อกระดูก เอ็นยึดข้อต่ออวัยวะภายใน สาเหตุของการบาดเจ็บทางกีฬามาจากปัจจัย 2 อย่าง คือ จากตัวผู้เล่นเองและจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ( หน่วยศึกษานิเทศก์ :2543)

2.4.1 สาเหตุจากตัวผู้เล่นกีฬา ( Intrinsic Factors)

1.1 การเลือกชนิดกีฬา การเลือกเล่นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกับรูปร่างของตนเอง นอกจากจะเสียเปรียบในแง่ของการแข่งขันแล้วยังเป็นสาเหตุนำไปสู่อุบัติเหตุได้ กีฬาทุกชนิดต้องคำนึงถึงตัวผู้เล่นและความเหมาะสมเป็นอันดับแรก ซึ่งดูได้จากรูปร่าง ไหวพริบ ความคล่องแคล่วว่องไว กำลัง เป็นต้น

1.2 ความสมบูรณ์ของสมรรถภาพทางกาย นับเป็นพื้นฐานสำคัญในการเล่นกีฬาความสมบูรณ์จะช่วยในการตัดสินใจ สร้างความมั่นใจให้กับผู้เล่นกีฬา ทำให้กล้ามเนื้อมีการถ่ายเทของเสียจากเซลล์กล้ามเนื้อได้เร็ว เหน็ดเหนื่อยช้า คนที่ขาดความสมบูรณ์ของร่างกายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มาก

1.3 การบาดเจ็บในอดีต ผู้ที่เล่นกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บและยังไม่หาย หากลงไปเล่นอีก อาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำได้อีก ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายมาก ทำให้รักษาเพื่อให้หายเป็นปกติจะต้องใช้เวลานานกว่าเดิมอีกหลายเท่า บางครั้งทำให้การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาเสียไป เช่น ไม่สามารถจะใช้อวัยวะส่วนที่บาดเจ็บได้เต็มที่หรือกลัวจะถูกซ้ำรอยเดิม ดังนั้นผู้ที่เล่นกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บจะรักษาให้หายขาด และถ้าลงแข่งขันอีกด้วยได้รับอนุญาตจากแพทย์เสียก่อน

1.4 ด้านจิตวิทยา พบว่าที่ผู้เล่นกีฬาที่ได้รับอุบัติเหตุมี 2 พวก คือ พวกที่กล้ามากและพวกที่กลัวไม่กล้าตัดสินใจ ทั้งสองพวกนี้ต้องควบคุมจิตใจให้ดี เพราะมีโอกาสก่อให้เกิดบาดเจ็บได้เท่าๆ กัน กล่าวคือ พวกที่บ้าบิ่น มุทะลุ ชอบความรุนแรง ต้องการทำอะไรตามใจตนเอง จึงขาดความระมัดระวัง คึกคะนองเกิดกว่าเหตุ ส่วนพวกที่ขี้ขลาดก็ไม่กล้าตัดสินใจ ทำให้เกิดการบาดเจ็บเนื่องจากตัดสินใจไม่ถูกจังหวะ

1.5 ด้านความปลอดภัย ขาดจิตใจสำนึกใจความรับผิดชอบต่อสภาพที่ทำให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ในเรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับรู้ การฝึกปฏิบัติเป็นประจำจนเกิดนิสัยแห่งความปลอดภัย รวมทั้งการควบคุมอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในหลักแห่งความปลอดภัยใจเย็นและอยู่ในเกม (Stay safe, stay cool and stay in focus)

1.6 การเตรียมพร้อมก่อนลงแข่งขัน การบาดเจ็บมักเกิดขึ้นได้เสมอ เนื่องจากการเตรียมตัวไม่พร้อมก่อนลงแข่งขันอันได้แก่ ชุดแข่งขัน อุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บประจำตัวรวมถึงการอบอุ่นร่างกาย ( Warm-up) และการผ่อนคลายร่างกายหลังออกกำลังกาย (Cool down)

1.7 การใช้ยากระตุ้น (โด๊ป) เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอันขาด นักกีฬาที่มีสมรรถภาพทางกายดีอยู่แล้ว การโด๊ปจะไม่ช่วยให้เกิดผลดีขึ้นมา ส่วนในนักกีฬาที่มีสมรรถภาพทางกายมีสมบูรณ์พอก็จะเกิดการบาดเจ็บจากการโด๊ป เนื่องจากร่างกายจะต้องทำงานหนักเกินขีดความสามารถปกติของร่างกาย มักจะพบว่านักกีฬาโด๊ปยาบางชนิดจะเสียชีวิตในระหว่างการแข่งขันหรือหลังจากการแข่งขันยุติแล้ว

1.8 ทักษะความสามารถในการเล่น ผู้ที่มีทักษะไม่ดีพอหรือไม่เคยเล่นกีฬามาก่อน เมื่อเข้าร่วมเล่นโดยเฉพาะกีฬาที่มีการปะทะมักจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เนื่องจากขาดประสบการณ์ การขาดทักษะในการเล่น เสียพลังงานมาก โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้ได้รับการบาดเจ็บได้ง่าย

1.9 คุณธรรมในการเล่น ผู้เล่นกีฬาต้องไม่มีความเห็นแก่ตัว ต้องระลึกอยู่เสมอว่าการบาดเจ็บอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ดังนั้น จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการเล่นทั้งของตนและผู้อื่น ไม่คิดที่จะเอาเปรียบคู่แข่งขัน หรือใช้วิธีตุกติก คดโกงในการเล่นและจะต้องเล่นอย่างเป็นผู้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา มีระเบียบวินัยในการเล่นกีฬา

1.10 การฝึกซ้อมมากเกินไป ผู้ฝึกสอนมักจะวิตกกังวลเมื่อถึงฤดูการแข่งขันเกรงว่านักกีฬาของตนจะแพ้จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างสมรรถภาพทักษะ เทคนิควิธีโดยการฝึกที่เข้มอาจเป็นผลในทางลบก็ได้ เช่น เกิดการเบื่อหน่าย หงุดหงิด นอนไม่หลับเบื่ออาหาร สมรรถภาพทางกายลดลง หากปรากฏอาการดังกล่าวนี้ ควรหยุดฝึกซ้อมสักระยะหนึ่งเพิ่มการพักผ่อนให้มากขึ้น เพราะถ้าฝึกซ้อมต่อไปโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุก็มีสูงขึ้น

1.11 การเล่นกันเองตามลำพังนักเรียนที่เล่นกีฬาบางอย่างโดยปราศจากการควบคุมแลของครูหรือผู้ฝึกสอนที่มีความรู้ ความชำนาญ โอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บย่อมมีมาก

1.12 การไม่เคารพกฎกติกาการเล่นกีฬาที่ผิดกติกาทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ย่อมทำให้ได้รับบาดเจ็บได้ง่าย ซึ่งอาจจะเกิดได้กับตัวผู้เล่นเองหรือผู้อื่น

2.4.2 สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ( Extrinsic Factors)

2.1 ลักษณะธรรมชาติของชนิดกีฬา กิจกรรมกีฬาบางชนิด โดยกลไกของการเล่นแล้วจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้ เช่น การชกมวย มวยปล้ำ ยูโด นอกจากนี้กีฬาที่มีการปะทะกันย่อมเกิดเหตุได้มากกว่ากีฬาที่มีตาข่ายกั้นกลาง และยังรวมถึงตำแหน่งที่ลงเล่น เวลาที่ใช้ในการเล่นด้วย

2.2 ความบกพร่องของอุปกรณ์การเล่นและสนามแข่งขัน การใช้อุปกรณ์ที่บกพร่องชำรุดย่อมก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย สนามเล่นหรือแข่งขันที่อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยเป็นหลุมเป็นบ่อเปียกลื่น ย่อมทำให้ผู้เล่นมีโอกาสเกิดอันตรายได้ง่าย

2.3 คู่ฝึกซ้อมแข่งขันที่ไม่เหมาะสม การจัดคู่ฝึกซ้อมหรือคู่แข่งขันที่ไม่เหมาะสมกันย่อมก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้เล่นได้ง่าย โดยเฉพาะกีฬาที่มีการปะทะกัน

2.4 ผู้ตัดสินตามเกมการแข่งขันไม่ทัน ผู้ตัดสินกีฬามีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแข่งขัน ความเด็ดขาด มีปฏิภาณไหวพริบ ทันเกมการแข่งขัน และการตัดสินใจที่ถูกต้องของผู้ตัดสินจะช่วยทำให้นักกีฬาหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้ เพราะจะทำให้นักกีฬาเล่นในเกมตามกติกา ไม่ก่อให้เกิดการเล่นที่รุนแรง ผู้ตัดสินควรจะเป็นผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดี สายตาดี ตัดสินใจและถูกต้อง มีทักษะและประสบการณ์มาก ตลอดจนเข้าใจกติกาของกีฬานั้นๆ เป็นอย่างดี

2.5 ผู้สอนขาดทักษะในการสอน ผู้สอนที่มีความรู้ ความเข้าใจ และมีความสามารถในการสอนได้อย่างถูกต้อง จะช่วยป้องกันมิได้เกิดการบาดเจ็บได้ รวมทั้งรู้จักหาวิธีป้องกันล่วงหน้าตรงข้ามกับผู้สอนที่ขาดทักษะในการสอน ย่อมทำให้เกิดการบาดเจ็บเจ็บได้ง่าย

2.6 กองเชียร์และผู้ดู เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักกีฬาเกิดการบาดเจ็บได้ เช่น การเชียร์โดยยั่วยุให้นักกีฬาใช้วิธีรุนแรง มีการยกพวกตีกันทั้งผู้เล่นและผู้ดู

2.7 การควบคุมและการสื่อสารที่ดี การทำงานที่ขาดระบบงาน ขาดการประสานงาน ขาดการประชาสัมพันธ์ ย่อมทำให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายได้ง่าย

 

สรุปสาเหตุของการบาดเจ็บทางการกีฬา

 



         
กลับหน้าหลัก กลับหัวข้อการเรียน กลับหน้าก่อน หน้าถัดไป