3. กลไกของการบาดเจ็บจากการกีฬา แบ่งเป็น 2 แบบ คือ

3.1 บาดเจ็บที่เกิดจากภยันตราย

1.1 กระดูกแตกหรือหัก ( Fractures)

กระดูกแตกหรือหักอาจเกิดจากแรงกระแทกโดยตรงกัน เช่น ถูกไม้ฮอกกี้ตีที่ขา หรือโดยทางอ้อมเช่น หกล้มเอามือเท้าพื้นทำให้กระดูกไหปลาร้าหัก มักพบในกีฬาที่มีการปะทะกัน เช่น ฟุตบอล รักบี้ ฮอกกี้ บาสเกตบอล ยูโด มวย เป็นต้น บาดเจ็บจากการกีฬาที่ทำให้มีการหักหรือแตกของกระดูกถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้รับภยันตรายอย่างมากด้วย เช่น เอ็น กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เส้นประสาท และผิวหนัง โดยต้องให้การปฐมพยาบาลและการรักษาควบคู่กันไป

1.2 ข้อเคลื่อน ข้อหลุด ( Subluxation, Dislocation)

เกิดจากแรงกระแทกโดยตรงหรือโดยทางอ้อมทำให้มีการฉีกขาดของเยื่อหุ้มข้อ แคปซูล และเอ็นข้อต่อ ส่วนปลายของกระดูกที่ประกอบกันเป็นข้อต่อจึงเลื่อนหลุดออกจากกัน อาจจะเลื่อนหลุดออกจากกันเป็นบางส่วน ( subluxation) หรือเลื่อนหลุดโดยสมบูรณ์ ( dislocation) ที่พบได้บ่อย คือ ข้อไหล่และข้อศอก เป็นต้น ที่ยังพบได้บ่อยอยู่ในนักกีฬาก็คือข้อต่อหลุดซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่น ข้อไหล่บางคนหลุดเป็นสิบๆ ครั้งก็มี ทั้งนี้เนื่องจากการรักษาที่ไม่ครบถ้วน มีนักมวยบางคนถึงกับขณะต่อยมวยไปก็หลุดไปและดึงเข้าที่เองขณะที่กำลังชกมวยอยู่ก็มี ในรายพวกนี้ต้องผ่าตัดรักษาจึงจะหายขาดได้

ภาพแสดงการบาดเจ็บข้อเคลื่อน ข้อหลุด

1.3 ข้อเคล็ด ข้อแพลง จากเอ็นยึดข้อต่อฉีกขาด ( Sprain)

แรงที่มากระทำต่อข้อต่อทั้งทางตรงหรือทางอ้อมทำให้เอ็นยึดข้อต่อฉีกขาดได้ทั้งเอ็นภายนอกหรือภายในข้อต่อ อาจฉีกขาดเป็นบางส่วนหรือฉีกขาดโดยสมบูรณ์ตามความรุนแรงของแรงจากภายนอกที่มากระทำตำแหน่งที่ฉีกขาดอาจเป็นตรงกลางเอ็นหรือส่วนที่ปลายที่เกาะกระดูกหรือดึงกระดูกที่เกาะให้หลุดตามออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ได้

 

ภาพแสดงการบาดเจ็บข้อเคล็ด ข้อแพลง จากเอ็นยึดข้อต่อฉีกขาด

 

1.4 กล้ามเนื้อฉีกขาด ( Strain)

เกิดจากแรงกระแทกโดยตรงหรือโดยทางอ้อมเช่นขณะกำลังวิ่งด้วยความเร็วและมีการเปลี่ยนทิศทางทันทีทำให้กล้ามเนื้อต้นขาฉีกขาด (จากแรงกระตุก กระชาก) อาจฉีกขาดเป็นบางส่วน หรือฉีกขาดโดยสมบูรณ์นั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความรุนแรงของแรงที่มากระทำให้มีเลือดออกและบวม

1.5 เอ็นฉีกขาด ( Tendon rupture)

เอ็นเป็นส่วนที่ต่อจากกล้ามเนื้อเกาะที่กระดูก จึงทำให้หน้าที่เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อกลไก การฉีกขาดจึงเป็นไปในลักษณะเดียวกัน

1.6 บาดแผลหรือผิวหนังฉีกขาด ( Wound)

เกิดจากแรงที่กระทำโดยตรง เช่น แผลถลอก ( Abrasion) เกิดจากถูกของแข็งครูดอย่างแรง แผลตัด ( Cut wound) เกิดจากถูกของมีคมเช่นมีดหรือกระจกบาด แผลถูกของแหลมทิ่มดำ ( punctured wound) เช่น หนาม เศษหิน หรือตะปูทิ่มตำขณะวิ่งหรือเล่นกีฬา เป็นต้น

3.2 บาดเจ็บจากการใช้งานมากเกินไป ( Overuse injury)

เกิดจากการใช้งานมากเกินไปหรือใช้งานที่เดิมบ่อยๆ ครั้ง ( repeated mechanical overload) ต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ( musculo-skeletal system) การบาดเจ็บลักษณะนี้ในระยะแรกในการวินิจฉัยค่อนข้างยาก จนกระทั่งอาการมากแล้วจึงวินิจฉัยได้ ซึ่งบางครั้งทำให้แก้ไขไม่ทันหรือถึงแม้จะให้การบำบัดรักษาได้แต่ก็ล่าช้า ดังนั้นบาดเจ็บลักษณะนี้จึงควรคำนึงอยู่เสมอ การบาดเจ็บเกิดจากสาเหตุภายในคือ โครงสร้างของร่างกายที่ไม่ปกติ เช่น ขาโก่ง ความยาวของขาไม่เท่ากัน และความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ เป็นต้น และสาเหตุภายนอกคือการฝึกซ้อม เทคนิคและอุปกรณ์ไม่ถูกต้องเมื่อยังคงออกกำลังกายหรือฝึกซ้อมและเล่นกีฬาต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิดการบาดเจ็บลักษณะนี้ได้ง่าย

การฝึกหนักหรือการใช้งานมากเกินไปเท่าใดจึงทำให้เกิดโรคนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบ แต่พบว่านักกีฬาที่บาดเจ็บมาพบแพทย์นั้นประมาณร้อยละ 20-25 บาดเจ็บจากการใช้งานมากเกินไป ในนักกีฬาที่แข่งขันจะพบโรคนี้ในช่วงอายุ 20-29 ปี ส่วนนักกีฬาทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ฝึกเพื่อการแข่งขันจะพบในช่วงอายุ 30-49 ปี และร้อยละ 80 ของโรคนี้พบในนักกีฬาที่ต้องใช้ความอดทน เช่น วิ่งระยะไกลหรือกีฬาเฉพาะตัวที่ต้องอาศัยความชำนาญ และการเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายซ้ำๆ เช่น ยิมนาสติก เทนนิส และยกน้ำหนัก เป็นต้น และร้อยละ 80 ของโรคนี้อีกเช่นกันจะมีอาการที่ขา ที่พบบ่อยคือ เข่า (ร้อยละ 28) ข้อเท้า เท้า และส้นเท้า (ร้อยละ 21) และ การบาดเจ็บที่พบบ่อยเช่น

1 การอักเสบ ( Inflammation)

การอักเสบเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกายเมื่อเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บจากแรงกด แรงเสียดสี การใช้งานมากเกินไป การใช้งานซ้ำๆ และจากแรงกระแทกภายนอก

อาการที่พบคือ ปวด บวม แดง ร้อน กดเจ็บและเสียหน้าที่ การบำบัดรักษาที่สำคัญที่สุด คือการขจัดสาเหตุ อาการของการอักเสบในลักษณะนี้จะค่อยเป็นค่อยไป และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บางครั้งอาการลดลงเมื่อมีการอุ่นร่างกายก่อนเล่นกีฬา ( Warm up) และจะกลับมาเพิ่มมากขึ้นอีกถ้ายังทำการฝึกหรือเล่นกีฬาไปเรื่อยๆ การอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายที่เกิดจากการใช้งานมากเกินไป มีดังนี้

1.1 การอักเสบของเอ็นที่เกาะกระดูก ( Tendinitis)

เกิดจากการที่มีการใช้งานมากเกินไปบริเวณเอ็นที่เกาะกระดูก ทำให้มีการฉีกขาดทีละเล็กละน้อย (สำหรับในเด็กอาจมีการดึงชิ้นกระดูก บริเวณที่เอ็นนั้นเกาะหลุดติดออกมาด้วย) เช่น บริเวณข้อศอกด้านนอก ( Tennis elbow) บริเวณข้อศอกด้านใน ( golfer’s elbow) เป็นต้นอาการที่ตรวจพบคือ เจ็บ กดเจ็บ เจ็บเมื่อเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกาย

1.2 การอักเสบของเอ็นกล้ามเนื้อและปลอกเอ็น ( Paratendinitis)

มักเกิดบริเวณเอ็นร้อยหวาย ( Achilles tendon) นอกจานี้ยังพบได้ที่ไหล่ ข้อมือ และข้อเท้า เป็นต้น

1.3 ถุงลื่นอักเสบ ( Bursitis)

ถุงลื่น ( Bursa ) นี้มีหน้าที่รองรับการเสียดสี จะอยู่ระหว่างกระดูกกับเอ็น ระหว่างเอ็นกับเอ็น และอยู่ระหว่างกระดูหรือเอ็นกับผิวหนัง เช่น ที่ตะโพก ไหล่ ข้อศอก ข้อเข่า และข้อเท้า เป็นต้น บริเวณส้นเท้า ( Retro-calcaneal bursitis) บริเวณตาตุ่ม ( Malleolar bursitis)

2 กระดูกหักล้า ( Stress fracture)

เกิดการร้าวของกระดูกเนื่องจากการใช้มากจนเกินไป เช่นนักวิ่งระยะไกลที่เพิ่มระยะทางเร็วเกินไปหรือวิ่งบนพื้นที่แข็ง จะพบกระดูกร้าวหรือแตกบริเวณขาและเท้า ส่วนนักกีฬาที่เล่นกีฬาด้วยการหมุนบิดตัวหรือยกของหนัก เช่น ยิมนาสติกหรือยกน้ำหนัก จะพบกระดูกร้าวที่หลังระดับเอว เป็นต้น โดยจะมีอาการเจ็บ กดเจ็บตรงตำแหน่งที่กระดูกร้าวหรือปวดหลัง การวินิจฉัยค่อนข้างยากในระยะแรกเพราะยังไม่เห็นรอยหักในภาพเอ็กเรย์ ดังนั้นจึงควรสังวรไว้เสมอ

บาดเจ็บจากการเล่นกีฬาเกิดขึ้นได้เสมอจากการที่มีองค์ประกอบเสี่ยง ( risk factors) ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ( universal agreement) ทั้งหมดว่ามาจาก 2 สาเหตุ คือ เหตุภายนอก ( extrinsic) เช่น ชนิดกีฬา การฝึก อุปกรณ์การเล่นกีฬา สนาม คู่แข่งขัน ตลอดจนธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมก็สามารถทำให้เกิดภยันตรายและเกิดการบาดเจ็บได้ทั้งสิ้น และเหตุภายใน ( intrinsic) จากตัวนักกีฬาเอง เช่น รูปร่างและโครงสร้างของร่างกาย

 



         
กลับหน้าหลัก กลับหัวข้อการเรียน กลับหน้าก่อน หน้าถัดไป