การบาดเจ็บกล้ามเนื้อและข้อต่อ
5.1 ตะคริว ( Cramp)
ตะคริวเกิดจากการหดเกร็งตัวชั่วคราวของมัดกล้ามเนื้อนั้นๆ ทั้งมัด ทำให้เห็นเป็นก้อนหรือเป็นลูกจะมีอาการเจ็บปวดมาก มีอาการเจ็บปวดในบริเวณที่เกิด ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้จนกว่าจะได้รับการรักษาและ อาจจะเกิดได้บ่อยๆ และซ้ำที่เดิม หรือหลายๆ มัดพร้อมกันได้ สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงหรือไม่ได้รับการฝึกอย่างเพียงพอ ใช้งานมากเกินไป ได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดเป็นตะคริวได้ นอกจากนี้การที่ร่างกายขาดเกลือแร่บางชนิด เช่น แคลเซียม หรือในสภาพอากาศที่เย็นหรือการรัดผ้ายืดแน่นเกินไป เลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อน้อยจะยิ่งก่อให้เกิดตะคริวได้เช่นเดียวกัน
แนวทางการรักษา
ในขณะที่กำลังเล่นกีฬาแล้วเกิดเป็นตะคริว ให้หยุดพักทันที จากนั้นให้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อมัดนั้นให้เต็มที่ประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อมัดนั้นคลายตัว จึงนวดต่อด้วยน้ำมันนวดที่ร้อนเบาๆ ห้ามจับบีบหรือขยำ เพราะจำทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งเกิดตะคริวได้อีก หลังจากนั้นต้องบริหารกล้ามเนื้อมัดนั้นเป็นพิเศษ เพื่อให้แข็งแรงอยู่เสมอ
การป้องกัน
1. บริเวณกล้ามเนื้อทุกๆ ส่วนของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขาซึ่งต้องออกแรงมากในการวิ่ง
2. ฝึกซ้อมและค่อยๆ เพิ่มระยะทางการวิ่งเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงทนต่อการเกิดตะคริวได้
3. บริหารกล้ามเนื้อที่เคยเป็นตะคริวให้แข็งแรงเป็นพิเศษ เพื่อจะได้มีความทนเพิ่มขึ้น
4. หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาในสภาพอากาศที่หนาวเย็น
5. ดื่มน้ำและเกลือแร่ให้เพียงพอ ทั้งก่อนการเล่นกีฬา ขณะเล่นกีฬาหรือหลังการเล่นกีฬาเพื่อให้ความสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายอยู่เสมอ
5.2 กล้ามเนื้อบวม ( Muscle swelling)
เป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการบวมของกล้ามเนื้อในช่องว่างที่จำกัดเพราะมีเยื่อพังผืดที่เหนียวห่อหุ้มอยู่ ทำให้ปวดมาก ปวดอยู่ตลอดเวลา กินยาแก้ปวดก็ไม่หาย ถ้าลองยืดกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ จะมีอาการเจ็บปวดมาก สาเหตุเกิดจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมัดนั้นหรือกลุ่มนั้นน้อย พบในนักวิ่งที่เริ่มต้นฝึกซ้อมหนักเกินไป กล้ามเนื้อยังไม่คุ้นเคยและไม่แข็งแรงพอ มักพบในกล้ามเนื้อที่ขา ในรายที่มีอาการมากขึ้น เมื่อเจ็บแล้วก็ยังฝืนวิ่งต่อไปจะทำให้กล้ามเนื้อบวมมากขึ้นและไปกดทับเส้นเลือดเส้นประสาท ทำให้ไม่มีประสาทสั่งงานและกล้ามเนื้อตายได้และอาจเป็นอัมพาตได้
แนวการรักษา
เมื่อมีอาการในระยะแรก ให้หยุดการออกกำลังทันที พักผ่อนโดยวางอวัยวะส่วนที่ปวดในแนวราบไม่ยกสูงเหนือระดับหัวใจและไม่พันผ้ายืดเพื่อหวังการลดบวม ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรต้องพิจารณาผ่าตัด เพื่อเปิดช่องเยื่อบุกล้ามเนื้อ เพื่อระบายความดันภายในช่องให้ลดลงโดยเร็ว
การป้องกัน
1. การเริ่มต้นฝึกเล่นกีฬา ต้องค่อยๆ เพิ่มความหนักในการออกกำลังกายจากเบาไปหาหนัก จากน้อยไปหามาก ในทุกส่วนของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
2. ขณะเล่นกีฬา เมื่อเกิดอาการปวดที่กล้ามเนื้อหน้าแข้งหรือน่องให้หยุดพักทันที เพื่อป้องกันอันตรายร้ายแรงอื่นๆ ที่จะตามมาโดยคาดไม่ถึง
5.3 กล้ามเนื้อช้ำ ( Contusion)
เกิดจากการที่กล้ามเนื้อโดนกระแทกด้วยของแข็ง ทำให้หลอดเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อฉีกขาดมีเลือดออกคั่งอยู่ในกล้ามเนื้อ ถ้าเป็นมากหรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง เลือดที่คั่งจะไปจับกันเป็นก้อนเหนียว เกิดเป็นพังผืดทำให้กล้ามเนื้อทำงานไม่ได้เต็มที่และเกิดการเจ็บปวดได้
แนวทางการรักษา
เมื่อได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อจากการกระทบกระแทก ให้หยุดพักทันทีพร้อมกับประคบน้ำแข็งประมาณ 10-15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดออกหรือให้เลือดออกน้อยที่สุด จากนั้นใช้ผ้ายืดพันทับกล้ามเนื้อมัดนั้น เพื่อจะได้มีแรงกดและหยุดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดนั้น หลังจากนั้น 1-2 วัน ให้ประคบร้อนหรือนวดด้วยน้ำมันนวดที่ร้อนเบาๆ เพื่อให้เลือดที่ออกกระจายตัวและถูกดูดซึมกลับไปในที่สุด และป้องกันการยึดติดของพังผืดต่อไป
การป้องกัน
บริหารกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเสียหน้าที่เทื่อได้รับบาดเจ็บและหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกบริเวณกล้ามเนื้อจากของแข้งโดยตรง
5.4 กล้ามเนื้อฉีกขาด ( Rupture, strain)
เกิดจาก 2 สาเหตุ คือ แรงกระทบจากภายนอกและตัวกล้ามเนื้อเอง ดังนี้
1. จากแรงกระทบกระแทก เกิดจากการกระทบของแข็งที่แรงมากทำให้กล้ามเนื้อถึงกับฉีกขาดและมีเลือดออกมาก
2. จากตัวกล้ามเนื้อเอง มีการกระตุกของกล้ามเนื้อทันทีทันใดจากการเปลี่ยนทิศทางหรืออื่นๆ ทำให้มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมัดนั้นโดยฉับพลัน เกิดการฉีกขาดขึ้น ทั้งนี้เพราะกล้ามเนื้อมัดนั้นไม่แข็งแรง มีความทนทานน้อย ความรุนแรงของกล้ามเนื้อฉีกขาด แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 ฉีกขาดน้อยกว่า 10 % บวมเล็กน้อยหรือไม่บวม ปวดไม่มาก วิ่งต่อไปได้
ระดับที่ 2 ฉีกขาด 10-15 % บวมมากขึ้น ปวดมากวิ่งต่อไปไม่ได้ พอเดินได้
ระดับที่ 3 ฉีกขาด 50-100 % บวมมาก หรือปวดน้อย (ถ้าฉีกขาดสมบูรณ์) เล่นกีฬาหรือเดินต่อไปไม่ได้ เพราะกล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้
เมื่อเกิดการฉีกขาดของกล้ามเนื้อทันที เราสามารถแบ่งระดับง่ายๆ โดยการใช้มือหรือนิ้วมือคลำดูจะพบเป็นร่องบุ๋มตรงตำแหน่งที่ฉีกขาด แต่ถ้าทิ้งระยะผ่านมาจะบอกได้ยากเพราะจะมีเลือดออกมาปิดร่องรอยตรงที่ฉีกขาด
แนวการรักษา
เมื่อมีการฉีกขาดของกล้ามเนื้อเกิดขึ้น การปฐมพยาบาลทั่วๆ ไปคือ หยุดเล่นกีฬาทันที พักประคบน้ำแข็ง 15-20 นาที พัก 5 นาที สลับกันไป จนการบวมไม่เพิ่มขึ้นพร้อมๆ กับใช้ผ้ายืดรัดให้เกิดแรงกดบริเวณนั้น ต้องระวังไม่ให้แน่นจนเกินไป และให้ยกส่วนปลายสูงขึ้นเพื่อให้เลือดไหลเวียนกลับสู่หัวใจได้สะดวก เป็นการลดอาการบวมด้วย หลังจาก 1-2 วัน ให้ประคบด้วยความร้อนเพื่อให้หลอดเลือดบริเวณนั้นขยายตัวจะได้ดูดซับเอาเลือดที่ออกกลับไปเมื่อเริ่มมีกล้ามเนื้อฉีกขาดควรตรวจดูโดยเร็ว โดยการคลำเพื่อดูระดับการฉีกขาด ถ้าเป็นระดับที่ 1 ประมาณ 3 วัน จะหาย ถ้าเป็นระดับที่ 2 หลังจากการปฐมพยาบาลแล้วต้องทำให้กล้ามเนื้อที่ฉีกขาดนั้นอยู่นิ่งๆ เพื่อให้การหายมีแผลเป็นหรือพังผืดจับบริเวณที่มีการฉีกขาดของกล้ามเนื้อน้อยที่สุดโดยการยึดตรึงด้วยแถบ พลาสตเตอร์ (เฝือกอ่อน) 3 สัปดาห์ ก็จะหายไปเป็นปกติ ถ้ามีการเคลื่อนไหวจะทำให้มีแผลเป็นใหญ่และพังผืดเกิดขึ้น ประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อจะลดลงไป ถ้าตรวจโดยใช้นิ้วคลำพบร่องบุ๋มใหญ่ พบว่าเป็นระดับที่ 3 ต้องพิจารณาให้การรักษาโดยการผ่าตัดเย็บต่อกล้ามเนื้อและเข้าเฝือกในท่าที่กล้ามเนื้อนั้นอยู่ในท่าพัก
5.5 การบาดเจ็บบริเวณข้อต่อ
5.5.1 ข้อเคล็ด ข้อแพลง ( Sprain)
เกิดจากการฉีกขาดของเอ็นที่ยึดข้อ การฉีกขาดอาจเป็นเพียงบางส่วนหรือฉีกขาดทั้งหมด ถ้ารักษาไม่ดีอาจจะทำให้เอ็นยึดหรือติดไม่แข็งแรง หรือติดไม่ดี ผลที่ตามมาคือ เจ็บ ทำให้เกิดข้อเสื่อมในภายหลัง และข้อคลอนได้
การบาดเจ็บจากการกีฬาที่พบบ่อย คือ ข้อเท้า ข้อเข่า เอ็นยึดข้อเท้าและข้อเข่ามีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วยเอ็นหลายผืนหลายมัด แต่ละมัดหรือผืนประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ เรียงตัวกอดกันแน่นในผืนหรือมัดตามความยาว เอ็นยึดข้อต่อมีขนาดใหญ่แตกต่างกันไปตามจำนวนเส้นใย เส้นใยดังกล่าวมีคุณสมบัติ คือ สามารถยืดหดได้เล็กน้อย และมีความเหนียวทนต่อแรงดึงและแรงบิดที่จำกัด ถ้าแรงดึงหรือแรงบิดมากจนเกินไป ใยเส้นเอ็นนั้นจะยืดขาดออกจากันในที่สุด

ภาพแสดงอาการบวมหลังจากข้อเท้าแพลง
ความรุนแรงของข้อเคล็ด ข้อแพลงแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 มีการฉีกขาดของเอ็นเล็กน้อย หรือมีการยืดของเอ็นที่บริเวณข้อต่อนั้น บริเวณที่มีการฉีกขาดจะไม่บวมหรือมีการบวมเล็กน้อย อยู่เฉยๆ จะไม่เจ็บ มีการเสียวหรือปวดที่ข้อต่อนั้นน้อยมาก และเดินไม่กะเผลก
แนวการรักษา
ให้พักข้อต่อนั้นโดยยกให้สูงและประคบเย็นทันที ประมาณ 5-10 นาทีโดยใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งทุบละเอียดที่บรรจุในกระเป๋ายาง ถุงพลาสติก หรือห่อผ้า และพันผ้ายืดไว้ประมาณไม่เกิน 3 วันจะหายเป็นปกติ
ระดับที่ 2 จะมีความรู้สึกเจ็บปวด มีการเสียวที่ข้อต่อนั้นเล็กน้อย เดินกระเผลก สำหรับข้อเท้านั้น จะทำให้ไม่สามารถเขย่งปลายเท้าหรือยืนบนปลายนิ้วเท้าเวลาเดิน จะมีการบวมเฉพาะที่และถ้าใช้นิ้วกดตรงบริเวณนั้นจะมีอาการเจ็บปวดอย่างมาก ถ้าทำให้มีการเคลื่อนไหวหรือหมุนบิดของข้อนั้น ก็จะเจ็บปวดมากเช่นกัน อาการบวมจะเกิดขึ้นในทันทีเนื่องจากมีการฉีกขาดของหลอดเลือดบริเวณนั้น ทำให้มีเลือดคั่งบริเวณใต้ผิวหนัง
แนวการรักษา
สิ่งที่ต้องทำทันทีคือ การพักและยกยกข้อต่อนั้นให้สูงไว้ จากนั้นประคบน้ำเย็นทันทีควรประคบหลายๆ ครั้ง ติดต่อกันแต่ละครั้งนานประมาณ 5-10 นาที พัก 2-3 นาที ระหว่างพักควรเฝ้าดูอาการบวมบริเวณนั้น ถ้ามีอาการบวมคงที่ไม่เพิ่มขึ้นให้หยุดประคบเย็น จากนั้นพันข้อต่อนั้นด้วย พลาสเตอร์หลายๆ ชั้น หรือเรียกว่าเฝือกอ่อนเพื่อยึดตรึงหรือล๊อกข้อต่อนั้นไว้ เพื่อลดหรือป้องกันการเคลื่อนไหวบริเวณนั้น และให้เอ็นประสานกันและติดกันสนิท จากนั้นพันด้วยผ้ายืด พันไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ โดยเปลี่ยนพลาสเตอร์ทุก 1 สัปดาห์ เพราะมันจะยืดและทำให้หลวมได้ เมื่อครบ 3 สัปดาห์ เอาเฝือกอ่อนนี้ออกแล้วค่อยๆ บริหารข้อต่อนั้นโดยการเกร็งขยับฝืนแรงที่ต่อต้านการเคลื่อนไหว เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมั่นคงหายเป็นปกติดี สามารถเล่นกีฬาได้อย่างมั่นใจ แต่ถ้าไม่บริหารหลังเอาเฝือกอ่อนออกก่อนไปเล่นกีฬาจะทำให้ข้อต่อนั้นไม่แข็งแรง เกิดมีการพลิกและบาดเจ็บได้ง่าย ทำให้เกิดข้อเคล็ดหรือข้อแพลงได้ซ้ำอีกอยู่บ่อยๆ
ระดับที่ 3 มักจะมีการฉีกขาดของเยื่อบุข้อร่วมด้วยเสมอ ทำให้เลือดคั่งในข้อหรือซึมอยู่ใต้ผิวหนัง จะเห็นข้อเท้าหรือข้อเข่านั้นบวมทั้งข้อ มักจะเกิดจากการพลิกอย่างรุนแรงหรือในรายที่ได้รับบาดเจ็บเติมหรือภายหลังที่ข้อแพลงระดับที่ 2 ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเพียงพอหรือรีบใช้งานเร็วเกินไป
อาการที่เกิดขึ้นจะเจ็บปวดมาก บวมมาก เมื่อตรวจจับข้อเท้าหรือข้อเข่าแยกหรือบิดออกจากกัน จะเห็นว่ามีช่องว่างอ้าออกจากกันไม่มั่นคง อาการบวมนั้นจะเกิดขึ้นทันทีทันใด เนื่องจากเยื่อบุข้อต่อฉีกขาดทำให้เลือดคั่งอยู่ในข้อต่อ จะเห็นข้อบวมชัดเจน บางรายเห็นเป็นกระเปราะคลำดูรู้สึกอุ่นๆ เลือดที่คั่งอาจเซาะมาใต้ผิวหนังทำให้สีผิวเปลี่ยนแปลงไปโดยวันแรกอาจจะมีสีแดงเรื่อๆ หรือเปลี่ยนแปลงไม่ชัดเจน แต่ในวันต่อมาจะมีสีเขียวหรือม่วงคล้ำ จากนั้นค่อยๆ จางหายไปพร้อมอาการบวม ในประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3
แนวการรักษา
การรักษาและป้องกันระยะแรกปฏิบัติเหมือนระดับที่ 2 ใส่เฝือกปูนพลาสเตอร์อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ การใส่เฝือกนี้สามารถเสริมส้นยางที่เฝือกเพื่อเดินลงน้ำหนักได้ในกรณีที่บาดเจ็บที่ข้อเท้า เมื่อครบ 4-6 สัปดาห์ ถอดเฝือกออกแล้ว จะต้องพันผ้าหรือสวมสนับข้อเท้าหรือข้อเข่า เพื่อช่วยพยุงต่อไปอีกระยะหนึ่งจะกว่าจะใช้ข้อต่อนั้นได้ตามปกติ จากนั้นเคลื่อนไหวและบริหารต่อเพื่อให้ข้อแข็งแรงแล้วจึงกลับไปเล่นกีฬาได้ตามปกติ การใช้ยาร่วมด้วย ยาที่ให้ได้คือ ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบพวก NSAID ในขณะที่อยู่ในระยะเฉียบพลัน
ข้อควรระวังและข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
1. การรักษาที่ไม่ถูกต้อง คือในทันทีที่ได้รับบาดเจ็บ แทนที่จะพัก กลับทำการนวดคลึงหรือข้อบิดหมุนไปมา ทำให้เอ็นยืดข้อต่อที่ยืดอยู่ฉีกขาดมากขึ้น หรือเอ็นยึดข้อที่ฉีกขาดเป็นบางส่วนจะฉีกขาดโดยสมบูรณ์ เนื้อเยื่อที่ชอกช้ำจะได้รับอันตรายเพิ่มขึ้น ข้อที่ไม่บวมหรือบวมเล็กน้อยจะบวมมากขึ้นไปอีก
2. การประคบร้อน ซึ่งโดยปกติควรเริ่มหลังจาก 24-48 ชั่วโมงผ่านไปแล้วเพราะระยะนี้ความร้อนจะช่วยลดการอักเสบ ถ้าประคบร้อนในรายที่ได้รับบาดเจ็บมาใหม่ๆ จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดยิ่งออกมาขึ้น การใช้วัสดุร้อนๆ พอกบนบริเวณที่บวมยังอาจทำให้ผิวหนังนั้นพองและเกิดการอักเสบติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้
3. การพันผ้ารัดแน่นเกินไป การรัดหรือตามด้วยเฝือกไว้ ถ้าพันผ้าไม่ถูกวิธีหรือแน่นเกินไป เมื่อเกิดอาการบวมจะทำให้ผิวหนังถูกกด เน่า จนบางรายอาจถึงขั้นที่เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงส่วนปลายนิ้วเท้า และสุดท้ายทำให้นิ้วเน่าดำและต้อถูกตัดเท้าข้างนั้นทิ้งได้
5.5.2 ข้อเคลื่อน- หลุด ( Subluxation, dislocation)
พบได้บ่อยในกีฬาที่มีการปะทะกัน เช่น รักบี้ ฟุตบอล ฯลฯ เกิดจากการที่หัวกระดูกหลุดออกจากเบ้า อาจหลุดออกเป็นบางส่วนหรือหลุดออกโดยสมบูรณ์ มีการฉีกขาดของเอ็น พังผืดและเนื้อเยื่อที่หุ้มรอบข้อต่อตรงตำแหน่งที่หลุด ทำให้มีอาการปวด บวม เคลื่อนไหวไม่ได้ ข้อติดหรือถึงแม้เคลื่อนไหวได้แต่ก็เคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่ รูปร่างของข้อจะเปลี่ยนไป ที่พบได้บ่อยจากการเล่นกีฬา คือ ข้อไหล่ ข้อศอก ข้อนิ้วมือ กระดูกสะบ้าหลุด ตัวอย่างเช่น ข้อไหล่หลุด จะพบว่าบริเวณไหล่ที่เคยนูนจะแบนราบลงเป็นเส้นตรงไม้บรรทัดวางทาบได้สนิท และไม่สามารถเอื้อมมือข้างนั้นไปแตะบ่า ด้านตรงข้ามได้ ข้อศอกหลุดจะพบว่าส่วนข้อศอกนั้นนูน บวมขึ้น มองจากทางด้านหน้าจะพบว่าต้นแขนยาวกว่าแขนปลาย แต่ถ้ามองจากด้านหลัง จะพบว่าต้นแขนสั้นกว่าแขนท่อนปลาย เป็นต้น
แนวการรักษา
เมื่อมีข้อเคลื่อนหรือหลุดเกิดขึ้น ผู้ที่มิใช่แพทย์ไม่ควรดึงเข้าที่เอง เพราะอาจทำให้กระดูกหักได้หรือบางรายอาจมีกระดูกหักชิ้นเล็กๆ ร่วมด้วย จึงควรเอกซเรย์ให้เห็นชัดเจนก่อนที่จะดึงเข้าที่ หรือบางรายอาจต้องผ่าตัดรักษา สิ่งแรกที่ควรทำคือ ให้ข้อนั้นอยู่นิ่งๆ ในท่าที่เป็นอยู่ อาจะใช้มืออีกข้างช่วยประคองในกรณีที่เป็นข้อไหล่หรือข้อศอกจากนั้นประคบด้วยน้ำแข็งเพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด แล้วรีบส่งพบแพทย์ให้จัดการรักษาโดยทันที
สิ่งสำคัญหลังจากที่ดึงข้อต่อเข้าที่แล้วคือ การยึดตรึงให้ข้อต่อนั้นอยู่นิ่งๆ นาน 3 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อให้เอ็น พังผืดและเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อติดกันเป็นปกติเหมือนเดิม ถ้าไม่ยึด หรือตรึงข้อต่อหลังจากที่ดึงเข้าที่แล้ว จะทำให้เอ็น พังผืดหรือเนื้อเยื่อที่ฉีกขาดนั้นติดกันไม่ดี หย่อนยืดและหลวมทำให้มีการหลุดของข้อต่อนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในระยะต่อๆ มา ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง ที่พบบ่อย คือ ข้อไหล่ บางครั้งการหยุดของข้อไหล่ในครั้งต่อๆ มา นักกีฬาเองสามารถดึงหรือขยับเข้าที่ได้เองโดยง่าย ที่ข้อต่อหลุดซ้ำๆ หลายครั้งนี้ สามารถรักษาให้หายได้โดยวิธีผ่าตัดเท่านั้น
5.5.3 ข้อบวม ( Joint swelling)
เมื่อวิ่งหรือเล่นกีฬาและภายหลังการวิ่งหรือเล่นกีฬาแล้วเกิดข้อบวมขึ้น ที่พบได้บ่อยๆ คือข้อเข่า อาจเกิดขึ้นในทันทีทันใด เช่น จากอุบัติเหตุ คือ เมื่อเลือดออกภายในข้อหรือเกิดจากการใช้งานมากเกินไป เช่น วิ่งมากเกินไปแล้วมีน้ำสร้างภายในข้อ เป็นผลจากเยื่อหุ้มที่อักเสบเรื้อรังหรือเคยมีการบาดเจ็บเก่าในข้อต่อนั้นอยู่แล้ว
แนวการรักษา
เหมือนกับการปฐมพยาบาลที่ได้กล่าวแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องตรวจให้ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร อาจจะเป็นเอ็นฉีกขาดหรือจากเยื่อหุ้มที่อักเสบเรื้อรัง เพื่อจะได้รักษาต้นเหตุให้หายไปได้ บางรายอาจต้องผ่าตัดรักษารีบด่วน เช่น เอ็นในข้อเข่าฉีกขาด ถ้านานเกินไปแล้วจะเย็บต่อไม่ได้ เพราะเอ็นจะเปื่อย ยุ่ย ต้องสร้างเอ็นขึ้นใหม่ เป็นต้น ในรายที่เกิดจากการอักเสบต้องพักและบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรง เพื่อเลือดจะได้มาเลี้ยงมาก รักษาอาการอักเสบที่เกิดขึ้นให้หายไป การป้องกัน
1. บริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรงอยู่เสมอ และแข็งแรงเป็นพิเศษในรายที่เป็นเรื้อรัง
2. เมื่อมีข้อบวมด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่จากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย ให้พบแพทย์ทันทีเพื่อค้นหาสาเหตุและการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
5.5.4 ข้อติดขัด ( Locked joint)
เมื่อมีการวิ่ง เล่นกีฬาหรือเคลื่อนไหว พบว่ามีอะไรบางอย่างขัดอยู่ในข้อ ซึ่งเกิดจากเศษของกระดูกหรือกระดูกอ่อนที่เกิดจากการทำลายหรือเสื่อมของข้อเอง ภาวะนี้พบน้อย การรักษาทำได้โดยการผ่าตัดเอาเศษกระดูกหรือกระดูกอ่อนออก
|