มลพิษทางอากาศ |
|
มลพิษทางอากาศหรืออากาศเสีย (Air pollution) หมายถึง สภาวะที่บรรยากาศ |
มีสารมลพิษต่าง ๆ ปะปนอยู่ในอากาศซึ่งปริมาณมากกว่าปกติ และก่อให้เกิดอันตราย |
ต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ โดยทั่วไปอากาศจะมีของผสมต่าง ๆ |
|
ของผสมที่มีในอากาศตามสภาวะปกติ |
|
|
ถ้าของผสมเหล่านี้มีปริมาณเปลี่ยนแปลงไปจากเกณฑ์ปกติ แสดงว่าอากาศเสีย |
หรือเกิดมลพิษในบริเวณดังกล่าว |
|
แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ |
|
แหล่งที่ทำให้อากาศเสีย สามารถจำแนกออกได้ 7 แหล่งคือ |
1. |
การคมนาคมขนส่ง เกิดจากการที่ยานพาหนะประเภทต่าง ๆ ปล่อยไอเสียออกสู่ |
บรรยากาศ ซึ่งประกอบด้วย ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และ |
สารตะกั่ว ก๊าซจากท่อไอเสียที่เกิดจากยานพาหนะส่วนใหญ่ เป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ |
ประเภทร้อยละ 64.5 |
|
|
การจราจรที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ |
|
|
2. |
การใช้เชื้อเพลิงในที่พักอาศัย ซึ่งเป็นผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงในการหุงต้ม |
หรือใช้ในกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ฟืน ถ่าน หรือก๊าซหุงต้ม ก๊าซที่เกิดจากเชื้อเพลิง เช่น |
คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน และควัน เป็นต้น |
ผลกระทบของการใช้เชื้อเพลิงในที่พักอาศัยมีประมาณร้อยละ 20.4 ส่วนการใช้ |
เชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ามีประมาณร้อยละ 24.7 |
3. |
โรงงานอุตสาหกรรม ที่มีการใช้เชื้อเพลิงประเภท ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และ |
น้ำมัน สารมลพิษที่เกิดขึ้นประกอบด้วย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ |
ไฮโดรคาร์บอนฝุ่นละออง ควัน ไอตะกั่ว และสารกัมมันตรังสี เป็นต้น |
4. |
การเผาขยะมูลฝอย อันเป็นวิธีการกำจัดขยะมูลฝอยที่มีปริมาณมาก ๆ ทำให้ |
เกิดก๊าซพิษออกมาหลายชนิด เช่น ไฮโดรคาร์บอน ออกไซด์ของไนโตรเจน |
คาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ |
มลพิษทางอากาศ |
|
5. |
การเกษตรกรรม เกิดในบริเวณที่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช การเผาไร่ |
นาทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของสารพิษจากยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืช |
ฝุ่นละออง และไฮโดรคาร์บอน |
6. |
การระบาดของสารบางชนิด เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง สี แลคเกอร์ เป็นต้น การระเหย |
ของสารเหล่านี้ ทำให้เกิดก๊าซไฮโครคาร์บอน หรือสารระเหยอินทรีย์ต่าง ๆ เช่น |
ทินเนอร์ แอลกอฮอล์ |
7. |
จากธรรมชาติ ที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น |
|
7.1 ภูเขาไฟ เป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดสารมลพิษทางอากาศหลายชนิด เช่น ฟลูม |
ควัน ก๊าซ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไฮโครเจนซัลไฟด์ มีเทน เป็นต้น |
|
7.2 ไฟป่า เกิดจากการเสียดสีของต้นไม้ใบหญ้าในพื้นที่ป่าทำให้เกิดการลุกไหม้ |
เนื่องจากอากาศมีอุณหภูมิสูงและแห้ง สารพิษที่เกิดจากไฟป่า ได้แก่ ควัน เถ้า |
ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน ไฮโดรคาร์บอน ออกไซด์ |
ของซัลเฟอรเป็นต้น |
|
7.3 การเน่าเปื่อยและการหมัก ของอินทรีย์สารและอนินทรีย์สารโดยจุลินทรีย์และ |
ปฏิกิริยาเคมีทำให้เกิดสารมลพิษสู่อากาศ เช่น ออกไซด์ของคาร์บอน แอมโมเนีย |
ไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นต้น |
|
7.4 การฟุ้งกระจาย มักเกิดจากกระแสลมทำให้ดิน เมล็ดพืช สปอร์หรือเกสร |
ของพืชฟุ้งกระจายในอากาศ อันทำให้เกิดสารมลพิษในรูปของอนุภาคของแข็ง เช่น |
ฝุ่น เปลือกของเมล็ดพืช ส่วนการฟุ้งกระจายของน้ำทะเลหรือมหาสมุทรทำให้เกิด |
มลพิษในรูปอนุภาคของแข็งและของเหลว โดยเฉพาะอนุภาคของเกลือ |
|
ประเภทของสารมลพิษในอากาศ |
|
สารพิษประเภทต่าง ๆ ที่เจือปนอยู่ในอากาศ ประกอบด้วย |
1. |
อนุภาคต่าง ๆ เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ลอยไปตามกระแสลม จัดเป็นสิ่งแวดล้อมใน |
อากาศ ซึ่งอาจเป็นทั้งของแข็งและของเหลว ดังนี้ |
|
1.1 ฝุ่นละออง เป็นอนุภาคของแข็งเกิดจากการบด ขัดสี ทุบ ป่น ระเบิด โม่ของ |
อินทรีย์สารและอนินทรีย์สารที่ปล่อยสู่บรรยากาศ และสามารถล่องลอยในอากาศ |
ได้ระยะหนึ่ง จึงตกสู่พื้นดินยกเว้นฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน |
(0.005 มิลลิเมตร) ที่สามารถล่องลอยในอากาศไปตามประแสลมโดยไม่ตกสู่พื้น |
ฝุ่นละอองที่เป็นพิษ เช่น แอสเบสทอส สารหนู ตะกั่ว ซิลิกา ยูเรเนียม |
|
1.2 ควัน เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก (ขนาดเล็กกว่า 0.001 มิลลิเมตร) |
สามารถ แขวนลอยในอากาศได้ เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นพวก |
คาร์บอนและสารลุกไหม้ได้ชนิดอื่น ๆ |
|
1.3 ขี้เถ้า เป็นอนุภาคขนาดเล็กมากของสิ่งที่เหลือจากการเผาไหม้ซึ่งปะปนอยู่ |
ในก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ |
|
1.4 เขม่า เป็นอนุภาคที่เกิดจากการรวมตัวของอนุภาคขนาดเล็ก ๆ ของคาร์บอน |
ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของวัตถุพวกที่เป็นคาร์บอน และมีสารพวกทาร์ |
(tar) ซับอยู่ด้วย |
|
1.5 ฟูม เป็นอนุภาคที่เป็นของแข็งมีขนาดเล็กมา (เล็กกว่า 0.001 มิลลิเมตร) |
มักเกิดจากการควบแน่น (condensation) ของไอ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี |
บางอย่างการหลอมโลหะหรือการเผาไหม้สารที่มีโลหะผสมอยู่ ตัวอย่างของฟูม เช่น |
ออกไซด์ของโลหะต่าง ๆ รวมทั้งออกไซด์ของตะกั่วที่เกิดจากการเผาไหม้ของ |
น้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์ |
|
1.6 ละออง เป็นอนุภาคของเหลวที่เกิดจากการควบแน่นของไอหรือก๊าซต่าง ๆ |
หรือ เกิดจากการแตกตัวของของเหลวจากกระบวนการบางอย่าง เช่น การพ่น การฉีด |
ของเหลวในอากาศ |
2. |
ก๊าซและไอต่าง ๆ เป็นสารพิษที่อยู่ในรูปของก๊าซชนิดต่าง ๆ รวมทั้งไอที่ |
ฟุ้งกระจายในอากาศ ซึ่งได้แก่ |
|
2.1 คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide. CO2) เป็นก๊าซที่เกิดจากในวงจร |
คาร์บอนชีวาลัย (biosphere) จัดเป็นองค์ประกอบตามปกติของอากาศ ไม่มีสี |
ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้เล็กน้อย สามารถดูดซับแสงแดดได้ดี และเป็นประโยชน์ต่อพืช |
และสัตว์ คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศที่มีปริมาณมากเกินไปจากการสันดาปของ |
เชื้อเพลิง จะทำให้เกิดการกัดกร่อนวัสดุสิ่งของต่าง ๆ ที่ทำด้วยหิน เพราะ |
ถ้าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ละลายน้ำ หรือเป็นไอน้ำจะมีฤทธิ์เป็นกรด |
|
2.2 คาร์บอนมอนอกไซด์ (Cabonmonoxide. CO) เป็นก๊าซที่เกิดจากการ |
เผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของคาร์บอนหรือสารประกอบคาร์บอนต่าง ๆ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น |
ไม่มีรส ติดไฟได้เบากว่าอากาศเล็กน้อย ไม่เกิดความระคายเคือง แต่เป็นก๊าซที่ |
มีอันตรายต่อสุขภาพมากเพราะเมื่อหายใจเข้าไปในร่างกายจะถูกปอดดูดซับและทำ |
ปฏิกิริยากับ ฮีโมโกลบิน (haemogolbin) หรือ ฮีโมโปรตีน (haemoprotein) |
ในเลือดกลายเป็นคาร์บอนซีฮีโมโกลบิน (Carboxy-haemoglobin) ทำให้ร่างกาย |
ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเกิดอาการเจ็บป่วย เช่น หายใจ |
เร็วกว่าปกติ เวียนศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย อาเจียน มึนศีรษะ หน้ามืด พูดจา |
เลอะเลือนเป็นลม ปวดชักกะตุก หมดสติ และเสียชีวิตได้ |
|
การเกิดก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ในบรรยากาศ มีแหล่งกำเนิดจากธรรมชาติ |
เครื่องยนต์ของยานพาหนะ และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ |
|
2.3 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur Dioxide. SO2) ที่เกิดจากการเผาไหม้ |
ของซัลเฟอร์หรือเชื้อเพลิงที่มีซัลเฟอร์ปะปนอยู่ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน เป็นก๊าซไม่มีสี |
ไม่ติดไฟ ถ้ามีความเข้มข้น จะทำให้เกิดรสชาติ มีกลิ่นฉุนชวนสำลัก จุดเดือดต่ำมาก |
ละลายน้ำได้ดีและกลายเป็นกรดซัลฟูรัส ทำให้เกิดกลิ่นฉุน และก่อให้เกิดอาการ |
ระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ แสบจมูกและคอ หรือเป็นโรคมะเร็งปอด |
|
2.4 ไนโตรเจนไดออกไซด์ (Nitrogen Dioxide. NO2) เป็นก๊าซที่เกิดจาก้ |
การเผาไหมเชื้อเพลิงจำพวกถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลี่ยม ก๊าซธรรมชาติ ที่มีอุณหภูมิ |
สูงกว่า 550 องศา เซลเซี่ยล มีสีน้ำตาลแดง กลิ่นฉุน และเป็นองค์ประกอบสำคัญของ |
ปฏิกิริยาลูกโซ่ทำให้เกิดมลพิษเป็นหมอกกรด (acid jeg) และฝนกรด (acid rain) |
ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ มีฤทธิ์ในการกัดกร่อนและสร้างความระคายเคืองเมื่อสูดดม |
ถ้ามีสารประกอบประเภทอินทรีย์สารปนอยู่จะทำให้เกิดกลิ่นคล้ายปลาเน่า |
|
2.5 โอโซน (Ozone. O3) เป็นก๊าซที่เกิดจากปรากฎการณ์ในธรรมชาติ เช่น |
ฟ้าแลบฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และจากการเชื่อมโลหะ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องปรับอากาศ |
เป็นต้น โอโซนมีสีน้ำเงินจาง กลิ่นแหลมฉุนแสบจมูก และมีความเป็นพิษสูงทำให้หาย |
ใจไม่สะดวก ปอดบวม |
3. |
โลหะหนักและสารกัมมันตรังสี เป็นอนุภาคของโลหะหนักที่ปะปนในอากาศ เช่น |
|
3.1 ตะกั่ว เป็นโลหะที่เกิดตามธรรมชาติในเปลือกโลกสีเทาเงิน หรือแกมน้ำเงิน |
สารตะกั่วเป็นสารที่ใช้เติมในน้ำมันเบนซิน เพื่อให้เครื่องยนต์เดินเรียบไม่กระตุกเมื่อ |
ถูกสันดาป จะกลายเป็นตะกั่วออกไซด์ระบายสู่อากาศพร้อมไอเสียที่พ่นออกจากรถยนต์ |
ที่ใช้น้ำมันเบนซินฟุ้งกระจายในบรรยากาศ และสะสมในร่างกายทำให้เป็นโรคโลหิตจาง |
โรคสมองอักเสบ เซื่องซึม กระวนกระวาย หงุดหงิด กล้ามเนื้อกระตุก ภาพหลอน |
ความจำเสื่อม เพ้อ คลั่ง ชัก และเป็นอัมพาตในที่สุด |
|
3.2 แคดเมียม เป็นอนุภาคโลหะที่เกิดจากการหลอมโลหะพบมากในบริเวณ |
โรงงานถลุงเหล็ก โรงงานพลาสติก ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง คลื่นไส้ อาเจียน |
และกัดกร่อนทำลายกระดูก |
|
3.3 ปรอท เป็นอนุภาคของโลหะที่เกิดจากการฟุ้งกระจายในโรงงานอุตสาหกรรมที่ |
ใช้ปรอทเพื่อประกอบการ เช่น โรงงานเภสัชกรรม โรงงานพลาสติก โรงงานทำ |
กระจกเงา เป็นต้น ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร |
ทางเดินปัสสาวะ และไตอักเสบ |
|
3.4 ฟลูออรีน เป็นอนุภาคของโลหะที่พบมากในโรงงานอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี หรือ |
โรงงานอลูมิเนียม ส่งผลกระทบต่อร่างกายทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด |
อย่างรวดเร็ว ท้องเดิน กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย และเสียชีวิตได้ |
|
3.5 กัมมันตรังสี เป็นอนุภาคของสารกัมมันตรังสีประเภทต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้ |
เครื่องมือทางการแพทย์หรือในวงการวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องเอ็กซเรย์ เ |
รดิโอไอโซโทป์ เรเดี่ยมโล เซอร์ อาวุธนิวเคลียร์ เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู ให้ผล |
ตกค้างในร่างกายและก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามอวัยวะต่าง ๆ หรือมีอาการระคายเคือง |
ของเยื่อบุและผิวหนังตามร่างกาย |
|
อันตรายจากมลพิษทางอากาศ |
|
สารมลพิษที่ปนเปื้อนในอากาศก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ดังนี้ |
1. |
ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ อันเกิดจาก |
การสูดดมสารมลพิษที่ปะปนในอากาศ ได้แก่ |
|
1.1 คาร์บอนมอนอกไซด์ ทำให้ขาดออกซิเจน หมดสติ ขาดความจำ หัวใจวาย |
|
1.2 ไนโตรเจนไดออกไซด์ ทำให้เกิดอาการปอดบวมและอาจถึงตาย |
|
1.3 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้เป็นโรคปอด โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง |
|
1.4 โอโซน มีส่วนทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง เนื่องจากอุลตราไวโอเลตกระจายสู่ |
พื้นดินได้มากขึ้น |
|
1.5 ฝุ่นละออง และเขม่าควัน ทำให้เป็นหวัด หลอดลมอักเสบ |
|
1.6 สารตะกั่ว ทำลายระบบประสาทของมนุษย์ เกิดอัมพาตในร่างกาย ทุพพลภาพ |
และโรคโลหิตจาง |
|
ความเจ็บป่วยจากมลพิษทางอากาศอาจเป็นการตายเฉียบพลันหรือแบบเรื้อรังที่ทำ |
ให้การเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควรและเป็นปัญหาสุขภาพให้กับคนในชุมชนด้วย |
2. |
ก่อให้เกิดเหตุรำคาญ ถ้าระดับมลพิษไม่รุนแรงมากเกินไป จะสร้างความ |
เดือดร้อน รำคาญจากฝุ่น กลิ่น ขี้เถ้า ควัน เพราะทำให้หายใจไม่สะดวก มีอาการ |
ระคายเคือง มีกลิ่นเหม็นรบกวน หงุดหงิดรำคาญ |
3. |
เป็นอันตรายต่อพืช ซึ่งเป็นผู้ผลิตในระบบนิเวศทำให้ผู้บริโภคในระดับต่าง ๆ ขาด |
แคลนอาหาร เนื่องจากห่วงโซ่อาหารเกิดภาวะไม่สมดุล เพราะมลพิษในอากาศทำให้ |
เซลล์ของพืชตายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคลอโรฟิลล์ถูกทำลาย หรืออาจทำให้คุณภาพ |
ผลผลิตของพืชด้อยลง เช่น ดอกไม้มีรอยด่าง สีจาง ไม้ผลเติบโตได้ช้าหรือใบ |
เป็นสีเหลือง |
4. |
ส่งผลกระทบต่อสัตว์ ถ้าสัตว์ได้รับมลพิษจากการหายใจเอาอากาศที่มีสารพิษเข้าสู่ |
ร่างกายโดยตรง หรือจากการกินพืชที่มีสารมลพิษสะสมอยู่จะทำให้เกิดเจ็บป่วย |
แคระแกร็นและตายในที่สุด อาการเจ็บป่วยที่พบในสัตว์มักไอ จาม น้ำมูกน้ำตาไหล |
หงอยซึม ทางเดินหายใจอักเสบ ถ้าสัตว์ที่สะสมสารมลพิษในรางกายถูกนำมาบริโภค |
ย่อมเป็นการถ่ายทอดสารพิษเข้ามาในร่างกายของมนุษย์ |
5. |
ทำลายวัสดุสิ่งของและสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเกิดจากสารปนเปื้อนหรือสารมลพิษในอากาศ |
เช่น |
|
5.1 ซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) ทำให้เกิดการกัดกร่อนของเนื้อเหล็กและมี |
อายุการใช้งานสั้นลง |
|
5.2 ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ทำให้ลวดสปริงเสียทรง |
|
5.3 ไนโตรเจนไดออกไซด์ โอโซน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้เนื้อผ้าอ่อนยุ่ย |
เปรอะเปื้อน และสีเปลี่ยนแปลง |
|
5.4 ซัลไฟด์ โอโซน หรือไนโตรเจนไดออกไซด์ ทำให้สีที่ทาอาคารหรือวัสดุต่าง ๆ |
ลอกหลุด |
|
5.5 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้คาร์บอเนตละลายหรือกัดกร่อน เกิดคราบดำ |
ของเขม่าหรือควัน |
6. |
บดบังแสงสว่าง การเกิดมลพิษทางอากาศทำให้เกิดหมอก ควัน ไอควัน และ |
ฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่บดบังแสงได้ นอกจากนี้ ก๊าซที่เป็นสารมลพิษ เช่น ไนโตรเจน |
ไดออกไซด์ มีคุณสมบัติดูด ซับแสงได้ดี ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นอุปสรรค |
ต่อการคมนาคมขนส่งอาจก่อให้เกิด อุบัติเหตุ เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดีและยังเป็น |
อุปสรรคต่อการสังเคราะห์แสงของพืชอีกด้วย |
|
การควบคุมและป้องกันมลพิษทางอากาศ |
|
จากผลเสียของมลพิษทางอากาศที่ทำลายสุขภาพของมนุษย์ และทำลาย |
สิ่งแวดล้อมดังกล่าว จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องควบคุมและป้องกันมลพิษทางอากาศ |
เพื่อสุขภาพที่ดีของมนุษย์และโลกนิเวศ |
1. |
ใช้กฎหมาย และระเบียบข้อบังคับ กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ |
มลพิษทางอากาศ เป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินกลยุทธ์ |
บังคับใช้ และให้ประสิทธิผลในทางปฏิบัติ ซึ่งจะนำไปสู่การควบคุม ป้องกัน และแก้ไข |
มลพิษทางอากาศ เพื่อรักษาอากาศให้มีคุณภาพที่ดี ไม่เกิดอันตรายต่อสุขภาพของ |
ของประชาชนและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตและสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ |
ลักษณะของกฎหมายเพื่อควบคุมสภาวะมลพิษทางอากาศจะแตกต่างกันไปในแต่ละ |
ประเทศ แล้วแต่ลักษณะของจารีตประเพณี และธรรมเนียมด้านการจัดการบริหาร |
และด้านนิติบัญญัติของประเทศนั้น ๆ โดยทั่วไปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและ |
รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมมีการจัดทำเป็น 2 แนวทางคือ |
|
1.1กฎหมายที่ประกอบด้วยกฎหมายอื่น ๆ หลาย ๆ ฉบับ โดยแต่ละฉบับมีขอบข่าย |
จำกัดเฉพาะการป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือการควบคุมภาวะมลพิษเรื่องใด |
เรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น กฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศ กฎหมายควบคุมมลพิษ |
ทางน้ำ และกฎหมายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น |
|
1.2กฎหมายที่เป็นฉบับเดียว เป็นกฎหมายที่มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมการ |
ป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือการควบคุมภาวะมลพิษในทุก ๆ ด้านจากการประกอบ |
กิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย คือ พระราชบัญญัติ |
ส่งเสริมและรักษาสุขภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานที่มี |
ขอบข่ายกว้างขวางครอบคลุมการป้องกันและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และการ |
ควบคุมมลพิษทุก ๆ ด้าน รวมถึงการป้องกันและรักษาคุณภาพอากาศและการควบคุม |
ภาวะมลพิษทางอากาศด้วย |
|
กฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมภาวะมลพิษทางอากาศของ |
ประเทศไทยปัจจุบัน ประกอบด้วย |
|
1. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518, |
2521,
2522 และ 2535 |
|
2. พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2484, 2495, 2497, 2505, 2527 และ |
2535 |
|
3. พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512, 2518, 2522 และ 2535 |
|
4. พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 และ 2535 |
|
5. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และ 2535 |
|
6. พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 |
|
7. พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 |
|
8. พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง |
พ.ศ. 2503 |
2. |
กำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการรักษาคุณภาพอากาศใน |
บรรยากาศให้อยู่ในสภาพที่ดี ซึ่งมีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ |
และแหล่งกำเนิดที่สำคัญ 2 ฉบับ คือ |
|
2.1 มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและ |
รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 |
ค่ามาตรฐานของก๊าซและสารในบรรยากาศโดยทั่วไป |
|
|
2.2 การกำหนดปริมาณของสารเจือปนในอากาศที่ระบายจากโรงงาน ออกตาม |
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 2 |
(พ.ศ. 2536) |
|
ค่าปริมาณของสารเจือปนในอากาศที่ระบายจากโรงงาน |
|
|
|
|
|
3. |
การวางผังเมือง เพื่อกำหนดเขตโรงงานที่มีไอเสียให้อยู่ในเขตอุตสาหกรรมที่ |
ห่างไกลจากชุมชนมีการบำบัดไอเสียอย่างถูกหลักวิชาการก่อนปล่อยสู่อากาศ และ |
ทำให้เกิดความสะดวกในการควบคุมตรวจสอบ |
4. |
การควบคุมการปล่อยสารปนเปื้อนหรือลดการผลิตสารปนเปื้อนจากแหล่งกำเนิด |
สารปนเปื้อน โดยให้มีสารปนเปื้อนออกมาในปริมาณที่น้อยที่สุด ซึ่งจะช่วยลดปัญหาที่ |
ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและผลเสียอื่น ๆ ต่อสิ่งแวดล้อม การควบคุมการปล่อย |
สารปนเปื้อนหรือลดการผลิตสารปนเปื้อนจากแหล่งกำเนิดสามารถกระทำได้หลายวิธี |
เช่น |
|
4.1 การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือวิธีการผลิต ในกระบวนการ |
อุตสาหกรรมหรือกระบวนการอื่น ๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น |
|
4.1.1 การใช้วัสดุอื่นทดแทน เช่น ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงแทนการใช้ถ่านไม้ในการ |
หุงต้มเพื่อให้การสันดาปดีขึ้น |
|
4.1.2 การเปลี่ยนปฏิกิริยาเคมีเพื่อลดสารปนเปื้อน เช่น โรงงานผลิตกำมะถันที่ |
ใช้วิธีการผลิตแบบกระบวนการสัมผัสแบบสองชั้นจะช่วยลดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ |
ออกมาปฏิกริยาในอัตรา 400 – 500 พีพีเอ็ม ขณะที่วิธีการผลิตแบบกระบวนการ |
สัมผัสชั้นเดียวจะปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ออกมาถึง 2,000 – 3,000 พีพีเอ็ม |
|
4.1.3 ควบคุมการระเหย ในกระบวนการที่มีการระเหยของสารมลพิษ เช่น |
โรงงานผลิตกรดดินประสิว ถ้าใช้การดูดกลืนในความดันปกติจะทำให้ก๊าซ |
ไนโตรเจนออกไซด์ปะปนในอากาศประมาณ 1,500 – 2,500 พีพีเอ็ม แต่ถ้าให้มี |
การดูดกลืนภายใต้ความดันสูงและมีการหล่อเย็นป้องกันการระเหย จะลดปริมาณ |
ไนโตรเจนออกไซด์ให้เหลือประมาณ 500 พีพีเอ็ม |
|
4.1.4 การบดขูดทุบหรือโม่ ในกระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดการฟุ้งกระจาย |
ของอนุภาคของของแข็ง อาจใช้น้ำหรือน้ำมันช่วยให้เกิดความชื้นเพื่อป้องกัน |
ไม่ให้ฟุ้งกระจาย เช่น การบดหรือโม่แป้งในลักษณะเปียกจะช่วยป้องกันการฟุ้ง |
กระจายของเศษข้าวและแป้ง |
|
4.1.5 การนำสารปนเปื้อนที่เกิดจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ประโยชน์ เพื่อ |
ลดการปล่อยสารปนเปื้อนออกปะปนในอากาศ เช่น นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มา |
ทำน้ำแข็ง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์มาผลิตกรดกำมะถัน หรือนำไอร้อนจากปล่อง |
ระบายควันมาใช้เป็นพลังงานในการให้ความร้อน เป็นต้น |
|
4.2 การควบคุมสารปนเปื้อนจากแหล่งกำเนิดก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศ เป็นการ |
ควบคุมไม่ให้มีสารปนเปื้อนในบรรยากาศมากเกินไปจนก่อให้เกิดอันตรายซึ่งกระทำ |
ได้หลายวิธี เช่น |
|
4.2.1 การลดความเร็วของอากาศเสีย เพื่อให้อนุภาคของของแข็งหรืออนุภาคของ |
ของเหลวในอากาศเสียที่มีน้ำหนักกว่าอากาศตกตะกอน โดยปล่อยให้ส่วนที่เป็นอากาศ |
ไหลออกไปสู่บรรยากาศ เช่น การตกตะกอนอากาศเสียในห้องตกตะกอน |
|
4.2.2 การเปลี่ยนทิศทางของอากาศเสีย เป็นการเปลี่ยนทิศทางการไหลของอากาศ |
เสียอย่างรวดเร็วเพื่อให้อนุภาคซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าอากาศไหลตามอากาศซึ่งมีน้ำหนัก |
เบากว่าไม่ทันทำให้บางส่วนของอนุภาคกระทบกระเทือนกับผนังอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยน |
ทิศทางและตะกอนโดยต้องใช้เครื่องมือต่าง ๆ ช่วยในการดำเนินการ เช่น |
เครื่องไซโคลน (Cyclone Precipitator) |
|
4.2.3 การดูดซับหรือการดูดซึม เพื่อกั้นกันหรือดูดซึมสารปนเปื้อนในอากาศเสีย |
โดยใช้เครื่องมือหรือตัวกลางที่เป็นของเหลวประเภทน้ำหรือน้ำมันมาใช้ |
|
4.2.4 การทำให้เจือจาง โดยใช้พัดลมดูดอากาศหรือพัดลมดูดอากาศร่วมกับปล่อง |
ระบายควัน เพื่อให้อากาศสกปรกเกิดการเจือจางจากการใช้อากาศสะอาดใน |
บรรยากาศมาช่วย |
|
4.3 ใช้อุปกรณ์เพื่อกำจัดสารปนเปื้อนในอากาศ ซึ่งมีมากมายหลายชนิดขึ้น |
อยู่กับการนำไปใช้ในการกำจัดหรือแยกสารปนเปื้อน เช่น เครื่องแยกตะกอนแบบ |
แรงหนีศูนย์กลางเพื่อใช้แยกอนุภาค เครื่องสครับเบอร์แบบบรรจุตัวกลาง |
5. |
การให้การศึกษา ให้ประชาชนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมต่าง ๆ ของ |
มนุษย์กับปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องอันจะช่วยให้ |
การควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะทำให้เกิด |
ทัศนคติที่ดีมีเหตุผลและเป็นส่วนเชื่อมโยงให้เกิดเป็นนโยบายและมาตรการต่าง ๆ |
ให้ยอมรับถือปฏิบัติในสังคม |
6. |
การใช้เทคโนโลยีใหม่ เพื่อปรับปรุงเชื้อเพลิงและกระบวนการผลิตให้เหมาะสมแต่ |
ช่วยลดมลพิษในอากาศลง เช่น การใช้สารเอ็นทีบี แทนสารตะกั่วในการผลิตกับน้ำมัน |
เบนซินเป็นต้น |
7. |
ควบคุมการเผากำจัดขยะ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดย |
ออกแบบเตาเผาที่ทำให้ปริมาณอากาศและเชื้อเพลิงอยู่ในอัตราที่เหมาะสม มีการ |
ถ่ายเทอากาศได้เพียงพอและเลือกใช้เชื้อเพลิงที่สามารถลดอนุภาคสารมลพิษได้ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|