มลพิษทางอากาศ  | 
            
          
            |   | 
            มลพิษทางอากาศหรืออากาศเสีย  (Air   pollution) หมายถึง สภาวะที่บรรยากาศ | 
          
          
            | มีสารมลพิษต่าง  ๆ ปะปนอยู่ในอากาศซึ่งปริมาณมากกว่าปกติ และก่อให้เกิดอันตราย | 
          
          
            | ต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตต่าง  ๆ โดยทั่วไปอากาศจะมีของผสมต่าง ๆ  | 
          
          
          
            |   | 
            ของผสมที่มีในอากาศตามสภาวะปกติ  | 
          
          
             | 
          
          
          
             | 
            ถ้าของผสมเหล่านี้มีปริมาณเปลี่ยนแปลงไปจากเกณฑ์ปกติ  แสดงว่าอากาศเสีย | 
          
          
            | หรือเกิดมลพิษในบริเวณดังกล่าว | 
            
          
          
            |   | 
            แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ | 
          
          
            |   | 
            แหล่งที่ทำให้อากาศเสีย  สามารถจำแนกออกได้  7  แหล่งคือ  | 
          
          
            1.  | 
            การคมนาคมขนส่ง  เกิดจากการที่ยานพาหนะประเภทต่าง ๆ  ปล่อยไอเสียออกสู่ | 
          
          
            | บรรยากาศ  ซึ่งประกอบด้วย ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และ | 
          
          
            | สารตะกั่ว  ก๊าซจากท่อไอเสียที่เกิดจากยานพาหนะส่วนใหญ่  เป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ | 
          
          
            | ประเภทร้อยละ  64.5 | 
          
          
          
            
  | 
            
          
             | 
            การจราจรที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ  | 
          
          
             | 
            
          
            |   | 
            
          
          
            2.  | 
            การใช้เชื้อเพลิงในที่พักอาศัย  ซึ่งเป็นผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงในการหุงต้ม | 
          
          
            | หรือใช้ในกิจกรรมอื่น  ๆ เช่น ฟืน ถ่าน หรือก๊าซหุงต้ม ก๊าซที่เกิดจากเชื้อเพลิง เช่น  | 
            
          
            | คาร์บอนมอนอกไซด์  ไนโตรเจนไดออกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน และควัน เป็นต้น  | 
          
          
            | ผลกระทบของการใช้เชื้อเพลิงในที่พักอาศัยมีประมาณร้อยละ  20.4 ส่วนการใช้ | 
          
          
            | เชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ามีประมาณร้อยละ  24.7 | 
            
          
            3.  | 
            โรงงานอุตสาหกรรม  ที่มีการใช้เชื้อเพลิงประเภท ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และ  | 
          
          
            | น้ำมัน สารมลพิษที่เกิดขึ้นประกอบด้วย  ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์  | 
            
          
            | ไฮโดรคาร์บอนฝุ่นละออง  ควัน ไอตะกั่ว และสารกัมมันตรังสี เป็นต้น | 
          
          
            4.  | 
            การเผาขยะมูลฝอย  อันเป็นวิธีการกำจัดขยะมูลฝอยที่มีปริมาณมาก ๆ ทำให้ | 
            
          
            | เกิดก๊าซพิษออกมาหลายชนิด  เช่น ไฮโดรคาร์บอน ออกไซด์ของไนโตรเจน  | 
          
          
            | คาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์  และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ | 
          
          
            มลพิษทางอากาศ  | 
          
          
             | 
            
          
            5.  | 
            การเกษตรกรรม  เกิดในบริเวณที่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช การเผาไร่ | 
            
          
            | นาทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของสารพิษจากยาฆ่าแมลง  และยาปราบวัชพืช  | 
          
          
            | ฝุ่นละออง  และไฮโดรคาร์บอน | 
          
          
            6.  | 
            การระบาดของสารบางชนิด  เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง สี แลคเกอร์ เป็นต้น การระเหย | 
            
          
            | ของสารเหล่านี้  ทำให้เกิดก๊าซไฮโครคาร์บอน หรือสารระเหยอินทรีย์ต่าง ๆ เช่น  | 
            
          
            | ทินเนอร์  แอลกอฮอล์ | 
          
          
          
            7.  | 
            จากธรรมชาติ  ที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น                               | 
            
          
            |   | 
            7.1 ภูเขาไฟ   เป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดสารมลพิษทางอากาศหลายชนิด เช่น ฟลูม | 
            
          
            | ควัน ก๊าซ  ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไฮโครเจนซัลไฟด์ มีเทน เป็นต้น | 
            
          
            |   | 
            7.2 ไฟป่า  เกิดจากการเสียดสีของต้นไม้ใบหญ้าในพื้นที่ป่าทำให้เกิดการลุกไหม้ | 
            
          
            | เนื่องจากอากาศมีอุณหภูมิสูงและแห้ง  สารพิษที่เกิดจากไฟป่า ได้แก่ ควัน เถ้า  | 
          
          
            | ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์  ออกไซด์ของไนโตรเจน ไฮโดรคาร์บอน ออกไซด์ | 
          
          
            | ของซัลเฟอรเป็นต้น | 
            
          
            |   | 
            7.3 การเน่าเปื่อยและการหมัก  ของอินทรีย์สารและอนินทรีย์สารโดยจุลินทรีย์และ | 
            
          
            | ปฏิกิริยาเคมีทำให้เกิดสารมลพิษสู่อากาศ  เช่น ออกไซด์ของคาร์บอน แอมโมเนีย  | 
          
          
            | ไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นต้น | 
            
          
            |   | 
            7.4 การฟุ้งกระจาย  มักเกิดจากกระแสลมทำให้ดิน เมล็ดพืช สปอร์หรือเกสร | 
            
          
            | ของพืชฟุ้งกระจายในอากาศ  อันทำให้เกิดสารมลพิษในรูปของอนุภาคของแข็ง เช่น  | 
          
          
            | ฝุ่น  เปลือกของเมล็ดพืช  ส่วนการฟุ้งกระจายของน้ำทะเลหรือมหาสมุทรทำให้เกิด | 
          
          
            | มลพิษในรูปอนุภาคของแข็งและของเหลว  โดยเฉพาะอนุภาคของเกลือ | 
            
          
            |   | 
            ประเภทของสารมลพิษในอากาศ | 
          
          
            |   | 
            สารพิษประเภทต่าง ๆ  ที่เจือปนอยู่ในอากาศ ประกอบด้วย | 
          
          
            1.  | 
            อนุภาคต่าง  ๆ เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ลอยไปตามกระแสลม จัดเป็นสิ่งแวดล้อมใน | 
          
          
            | อากาศ  ซึ่งอาจเป็นทั้งของแข็งและของเหลว ดังนี้ | 
            
          
            |   | 
            1.1 ฝุ่นละออง  เป็นอนุภาคของแข็งเกิดจากการบด ขัดสี ทุบ ป่น ระเบิด โม่ของ | 
          
          
            | อินทรีย์สารและอนินทรีย์สารที่ปล่อยสู่บรรยากาศ  และสามารถล่องลอยในอากาศ | 
            
          
            | ได้ระยะหนึ่ง  จึงตกสู่พื้นดินยกเว้นฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า  5 ไมครอน | 
          
          
            | (0.005 มิลลิเมตร) ที่สามารถล่องลอยในอากาศไปตามประแสลมโดยไม่ตกสู่พื้น | 
          
          
            | ฝุ่นละอองที่เป็นพิษ เช่น แอสเบสทอส  สารหนู ตะกั่ว ซิลิกา  ยูเรเนียม | 
          
          
            |   | 
            1.2 ควัน  เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก (ขนาดเล็กกว่า 0.001 มิลลิเมตร)  | 
          
          
            | สามารถ แขวนลอยในอากาศได้  เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์  ส่วนใหญ่เป็นพวก | 
            
          
            | คาร์บอนและสารลุกไหม้ได้ชนิดอื่น  ๆ  | 
            
          
            |   | 
            1.3 ขี้เถ้า  เป็นอนุภาคขนาดเล็กมากของสิ่งที่เหลือจากการเผาไหม้ซึ่งปะปนอยู่ | 
          
          
            | ในก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ | 
            
          
            |   | 
            1.4 เขม่า  เป็นอนุภาคที่เกิดจากการรวมตัวของอนุภาคขนาดเล็ก ๆ ของคาร์บอน | 
          
          
            | ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของวัตถุพวกที่เป็นคาร์บอน  และมีสารพวกทาร์ | 
          
          
            | (tar) ซับอยู่ด้วย | 
          
          
          
            |   | 
            1.5 ฟูม  เป็นอนุภาคที่เป็นของแข็งมีขนาดเล็กมา (เล็กกว่า 0.001 มิลลิเมตร)  | 
          
          
            | มักเกิดจากการควบแน่น  (condensation)  ของไอ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี | 
          
          
            | บางอย่างการหลอมโลหะหรือการเผาไหม้สารที่มีโลหะผสมอยู่  ตัวอย่างของฟูม เช่น  | 
          
          
            | ออกไซด์ของโลหะต่าง  ๆ รวมทั้งออกไซด์ของตะกั่วที่เกิดจากการเผาไหม้ของ | 
          
          
            | น้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์ | 
            
          
            |   | 
            1.6 ละออง   เป็นอนุภาคของเหลวที่เกิดจากการควบแน่นของไอหรือก๊าซต่าง ๆ | 
          
          
            | หรือ เกิดจากการแตกตัวของของเหลวจากกระบวนการบางอย่าง  เช่น การพ่น การฉีด | 
            
          
            | ของเหลวในอากาศ | 
            
          
            2.  | 
            ก๊าซและไอต่าง  ๆ เป็นสารพิษที่อยู่ในรูปของก๊าซชนิดต่าง ๆ รวมทั้งไอที่ | 
          
          
            | ฟุ้งกระจายในอากาศ ซึ่งได้แก่  | 
            
          
            |   | 
            2.1 คาร์บอนไดออกไซด์  (Carbon Dioxide. CO2) เป็นก๊าซที่เกิดจากในวงจร | 
          
          
            | คาร์บอนชีวาลัย  (biosphere)  จัดเป็นองค์ประกอบตามปกติของอากาศ ไม่มีสี  | 
            
          
            | ไม่มีกลิ่น  ละลายน้ำได้เล็กน้อย สามารถดูดซับแสงแดดได้ดี  และเป็นประโยชน์ต่อพืช | 
          
          
            | และสัตว์  คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศที่มีปริมาณมากเกินไปจากการสันดาปของ | 
          
          
            | เชื้อเพลิง จะทำให้เกิดการกัดกร่อนวัสดุสิ่งของต่าง  ๆ ที่ทำด้วยหิน  เพราะ | 
          
          
            | ถ้าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ละลายน้ำ  หรือเป็นไอน้ำจะมีฤทธิ์เป็นกรด | 
          
          
          
            |   | 
            2.2 คาร์บอนมอนอกไซด์  (Cabonmonoxide. CO)  เป็นก๊าซที่เกิดจากการ | 
            
          
            | เผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของคาร์บอนหรือสารประกอบคาร์บอนต่าง  ๆ ไม่มีสี  ไม่มีกลิ่น | 
          
          
            | ไม่มีรส ติดไฟได้เบากว่าอากาศเล็กน้อย  ไม่เกิดความระคายเคือง แต่เป็นก๊าซที่ | 
          
          
            | มีอันตรายต่อสุขภาพมากเพราะเมื่อหายใจเข้าไปในร่างกายจะถูกปอดดูดซับและทำ | 
          
          
            | ปฏิกิริยากับ ฮีโมโกลบิน  (haemogolbin) หรือ ฮีโมโปรตีน (haemoprotein)  | 
          
          
            | ในเลือดกลายเป็นคาร์บอนซีฮีโมโกลบิน  (Carboxy-haemoglobin) ทำให้ร่างกาย | 
          
          
            | ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง  ๆ ของร่างกาย และเกิดอาการเจ็บป่วย เช่น หายใจ  | 
          
          
            | เร็วกว่าปกติ  เวียนศีรษะ  กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย อาเจียน มึนศีรษะ หน้ามืด พูดจา  | 
          
          
            | เลอะเลือนเป็นลม  ปวดชักกะตุก หมดสติ  และเสียชีวิตได้ | 
          
          
            |   | 
            การเกิดก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ในบรรยากาศ  มีแหล่งกำเนิดจากธรรมชาติ  | 
            
          
            | เครื่องยนต์ของยานพาหนะ  และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ  | 
            
          
            |   | 
            2.3 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์  (Sulfur   Dioxide. SO2) ที่เกิดจากการเผาไหม้ | 
            
          
            | ของซัลเฟอร์หรือเชื้อเพลิงที่มีซัลเฟอร์ปะปนอยู่  เช่น น้ำมัน ถ่านหิน เป็นก๊าซไม่มีสี  | 
          
          
            | ไม่ติดไฟ ถ้ามีความเข้มข้น จะทำให้เกิดรสชาติ  มีกลิ่นฉุนชวนสำลัก จุดเดือดต่ำมาก  | 
          
          
            | ละลายน้ำได้ดีและกลายเป็นกรดซัลฟูรัส ทำให้เกิดกลิ่นฉุน  และก่อให้เกิดอาการ | 
            
          
            | ระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ  แสบจมูกและคอ หรือเป็นโรคมะเร็งปอด | 
            
          
            |   | 
            2.4 ไนโตรเจนไดออกไซด์  (Nitrogen   Dioxide. NO2)   เป็นก๊าซที่เกิดจาก้ | 
            
          
            | การเผาไหมเชื้อเพลิงจำพวกถ่านหิน  น้ำมันปิโตรเลี่ยม ก๊าซธรรมชาติ ที่มีอุณหภูมิ | 
          
          
            | สูงกว่า  550  องศา  เซลเซี่ยล มีสีน้ำตาลแดง  กลิ่นฉุน และเป็นองค์ประกอบสำคัญของ | 
          
          
            | ปฏิกิริยาลูกโซ่ทำให้เกิดมลพิษเป็นหมอกกรด (acid jeg) และฝนกรด (acid  rain)  | 
          
          
            | ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ มีฤทธิ์ในการกัดกร่อนและสร้างความระคายเคืองเมื่อสูดดม | 
          
          
            | ถ้ามีสารประกอบประเภทอินทรีย์สารปนอยู่จะทำให้เกิดกลิ่นคล้ายปลาเน่า | 
          
          
          
            |   | 
            2.5 โอโซน (Ozone. O3)  เป็นก๊าซที่เกิดจากปรากฎการณ์ในธรรมชาติ เช่น | 
            
          
            | ฟ้าแลบฟ้าร้อง  ฟ้าผ่า และจากการเชื่อมโลหะ เครื่องถ่ายเอกสาร  เครื่องปรับอากาศ  | 
          
          
            | เป็นต้น  โอโซนมีสีน้ำเงินจาง  กลิ่นแหลมฉุนแสบจมูก และมีความเป็นพิษสูงทำให้หาย  | 
          
          
            | ใจไม่สะดวก  ปอดบวม | 
          
          
          
            3.  | 
            โลหะหนักและสารกัมมันตรังสี เป็นอนุภาคของโลหะหนักที่ปะปนในอากาศ  เช่น | 
          
          
            |   | 
            3.1 ตะกั่ว  เป็นโลหะที่เกิดตามธรรมชาติในเปลือกโลกสีเทาเงิน หรือแกมน้ำเงิน | 
            
          
            | สารตะกั่วเป็นสารที่ใช้เติมในน้ำมันเบนซิน  เพื่อให้เครื่องยนต์เดินเรียบไม่กระตุกเมื่อ | 
          
          
            | ถูกสันดาป  จะกลายเป็นตะกั่วออกไซด์ระบายสู่อากาศพร้อมไอเสียที่พ่นออกจากรถยนต์ | 
          
          
            | ที่ใช้น้ำมันเบนซินฟุ้งกระจายในบรรยากาศ  และสะสมในร่างกายทำให้เป็นโรคโลหิตจาง  | 
          
          
            | โรคสมองอักเสบ  เซื่องซึม กระวนกระวาย  หงุดหงิด กล้ามเนื้อกระตุก ภาพหลอน | 
          
          
            | ความจำเสื่อม เพ้อ  คลั่ง ชัก และเป็นอัมพาตในที่สุด | 
          
          
            |   | 
            3.2 แคดเมียม   เป็นอนุภาคโลหะที่เกิดจากการหลอมโลหะพบมากในบริเวณ | 
            
          
            | โรงงานถลุงเหล็ก  โรงงานพลาสติก ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง คลื่นไส้ อาเจียน  | 
            
          
            | และกัดกร่อนทำลายกระดูก | 
            
          
            |   | 
            3.3 ปรอท  เป็นอนุภาคของโลหะที่เกิดจากการฟุ้งกระจายในโรงงานอุตสาหกรรมที่ | 
            
          
            | ใช้ปรอทเพื่อประกอบการ  เช่น โรงงานเภสัชกรรม โรงงานพลาสติก โรงงานทำ | 
          
          
            | กระจกเงา  เป็นต้น ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ  ทางเดินอาหาร  | 
          
          
            | ทางเดินปัสสาวะ  และไตอักเสบ | 
          
          
            |   | 
            3.4 ฟลูออรีน   เป็นอนุภาคของโลหะที่พบมากในโรงงานอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี หรือ | 
          
          
            | โรงงานอลูมิเนียม  ส่งผลกระทบต่อร่างกายทำให้มีอาการคลื่นไส้   อาเจียน น้ำหนักลด | 
          
          
            | อย่างรวดเร็ว ท้องเดิน  กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย  และเสียชีวิตได้ | 
            
          
            |   | 
            3.5 กัมมันตรังสี  เป็นอนุภาคของสารกัมมันตรังสีประเภทต่าง ๆ  ที่เกิดจากการใช้ | 
          
          
            | เครื่องมือทางการแพทย์หรือในวงการวิทยาศาสตร์  เช่น เครื่องเอ็กซเรย์ เ | 
            
          
            | รดิโอไอโซโทป์ เรเดี่ยมโล เซอร์  อาวุธนิวเคลียร์  เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู  ให้ผล | 
            
          
            | ตกค้างในร่างกายและก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามอวัยวะต่าง  ๆ หรือมีอาการระคายเคือง | 
            
          
            | ของเยื่อบุและผิวหนังตามร่างกาย  | 
            
          
            |   | 
            อันตรายจากมลพิษทางอากาศ | 
          
          
            |   | 
            สารมลพิษที่ปนเปื้อนในอากาศก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม  ดังนี้ | 
          
          
          
            1.  | 
            ทำให้เกิดโรคต่าง  ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ อันเกิดจาก | 
          
          
            | การสูดดมสารมลพิษที่ปะปนในอากาศ  ได้แก่  | 
            
          
            |   | 
            1.1 คาร์บอนมอนอกไซด์  ทำให้ขาดออกซิเจน หมดสติ ขาดความจำ หัวใจวาย | 
          
          
            |   | 
            1.2 ไนโตรเจนไดออกไซด์  ทำให้เกิดอาการปอดบวมและอาจถึงตาย | 
          
          
            |   | 
            1.3 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์  ทำให้เป็นโรคปอด โรคหัวใจ  และโรคมะเร็ง | 
          
          
            |   | 
            1.4 โอโซน  มีส่วนทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง   เนื่องจากอุลตราไวโอเลตกระจายสู่ | 
          
          
            | พื้นดินได้มากขึ้น | 
            
          
            |   | 
            1.5 ฝุ่นละออง  และเขม่าควัน ทำให้เป็นหวัด หลอดลมอักเสบ | 
          
          
            |   | 
            1.6 สารตะกั่ว  ทำลายระบบประสาทของมนุษย์ เกิดอัมพาตในร่างกาย ทุพพลภาพ  | 
          
          
            | และโรคโลหิตจาง | 
          
          
          
            |   | 
            ความเจ็บป่วยจากมลพิษทางอากาศอาจเป็นการตายเฉียบพลันหรือแบบเรื้อรังที่ทำ | 
          
          
            | ให้การเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควรและเป็นปัญหาสุขภาพให้กับคนในชุมชนด้วย | 
            
          
            2.  | 
            ก่อให้เกิดเหตุรำคาญ  ถ้าระดับมลพิษไม่รุนแรงมากเกินไป  จะสร้างความ | 
          
          
            | เดือดร้อน รำคาญจากฝุ่น  กลิ่น   ขี้เถ้า ควัน เพราะทำให้หายใจไม่สะดวก มีอาการ | 
            
          
            | ระคายเคือง  มีกลิ่นเหม็นรบกวน  หงุดหงิดรำคาญ | 
            
          
            3.  | 
            เป็นอันตรายต่อพืช  ซึ่งเป็นผู้ผลิตในระบบนิเวศทำให้ผู้บริโภคในระดับต่าง ๆ ขาด | 
          
          
            | แคลนอาหาร  เนื่องจากห่วงโซ่อาหารเกิดภาวะไม่สมดุล เพราะมลพิษในอากาศทำให้ | 
            
          
            | เซลล์ของพืชตายอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากคลอโรฟิลล์ถูกทำลาย   หรืออาจทำให้คุณภาพ | 
            
          
            | ผลผลิตของพืชด้อยลง  เช่น ดอกไม้มีรอยด่าง  สีจาง ไม้ผลเติบโตได้ช้าหรือใบ | 
            
          
            | เป็นสีเหลือง | 
            
          
            4.  | 
            ส่งผลกระทบต่อสัตว์   ถ้าสัตว์ได้รับมลพิษจากการหายใจเอาอากาศที่มีสารพิษเข้าสู่ | 
          
          
            | ร่างกายโดยตรง  หรือจากการกินพืชที่มีสารมลพิษสะสมอยู่จะทำให้เกิดเจ็บป่วย | 
            
          
            | แคระแกร็นและตายในที่สุด  อาการเจ็บป่วยที่พบในสัตว์มักไอ จาม  น้ำมูกน้ำตาไหล   | 
            
          
            | หงอยซึม  ทางเดินหายใจอักเสบ  ถ้าสัตว์ที่สะสมสารมลพิษในรางกายถูกนำมาบริโภค | 
            
          
            | ย่อมเป็นการถ่ายทอดสารพิษเข้ามาในร่างกายของมนุษย์ | 
            
          
            5.  | 
            ทำลายวัสดุสิ่งของและสิ่งก่อสร้าง  ซึ่งเกิดจากสารปนเปื้อนหรือสารมลพิษในอากาศ  | 
          
          
            | เช่น | 
            
          
            |   | 
            5.1 ซัลเฟอร์ไตรออกไซด์  (SO3)  ทำให้เกิดการกัดกร่อนของเนื้อเหล็กและมี | 
          
          
            | อายุการใช้งานสั้นลง | 
            
          
            |   | 
            5.2 ไนโตรเจนไดออกไซด์  (NO2) ทำให้ลวดสปริงเสียทรง | 
          
          
            |   | 
            5.3 ไนโตรเจนไดออกไซด์  โอโซน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้เนื้อผ้าอ่อนยุ่ย | 
          
          
            | เปรอะเปื้อน  และสีเปลี่ยนแปลง | 
            
          
            |   | 
            5.4 ซัลไฟด์  โอโซน หรือไนโตรเจนไดออกไซด์  ทำให้สีที่ทาอาคารหรือวัสดุต่าง ๆ  | 
          
          
            | ลอกหลุด | 
          
          
          
            |   | 
            5.5 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์  ทำให้คาร์บอเนตละลายหรือกัดกร่อน  เกิดคราบดำ | 
          
          
            | ของเขม่าหรือควัน | 
            
          
            6.  | 
            บดบังแสงสว่าง  การเกิดมลพิษทางอากาศทำให้เกิดหมอก ควัน ไอควัน และ | 
          
          
            | ฝุ่นละอองต่าง ๆ  ที่บดบังแสงได้ นอกจากนี้ ก๊าซที่เป็นสารมลพิษ เช่น ไนโตรเจน | 
            
          
            | ไดออกไซด์  มีคุณสมบัติดูด ซับแสงได้ดี  ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นอุปสรรค | 
            
          
            | ต่อการคมนาคมขนส่งอาจก่อให้เกิด อุบัติเหตุ  เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดีและยังเป็น | 
            
          
            | อุปสรรคต่อการสังเคราะห์แสงของพืชอีกด้วย | 
          
          
          
            |   | 
            การควบคุมและป้องกันมลพิษทางอากาศ | 
          
          
            |   | 
            จากผลเสียของมลพิษทางอากาศที่ทำลายสุขภาพของมนุษย์  และทำลาย | 
          
          
            | สิ่งแวดล้อมดังกล่าว  จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องควบคุมและป้องกันมลพิษทางอากาศ | 
          
          
            | เพื่อสุขภาพที่ดีของมนุษย์และโลกนิเวศ  | 
            
          
            1.  | 
            ใช้กฎหมาย  และระเบียบข้อบังคับ กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ | 
          
          
            | มลพิษทางอากาศ  เป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินกลยุทธ์  | 
            
          
            | บังคับใช้  และให้ประสิทธิผลในทางปฏิบัติ  ซึ่งจะนำไปสู่การควบคุม ป้องกัน และแก้ไข  | 
          
          
            | มลพิษทางอากาศ  เพื่อรักษาอากาศให้มีคุณภาพที่ดี  ไม่เกิดอันตรายต่อสุขภาพของ | 
          
          
            | ของประชาชนและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตและสภาวะแวดล้อมต่าง  ๆ | 
          
          
            | ลักษณะของกฎหมายเพื่อควบคุมสภาวะมลพิษทางอากาศจะแตกต่างกันไปในแต่ละ | 
          
          
            | ประเทศ  แล้วแต่ลักษณะของจารีตประเพณี  และธรรมเนียมด้านการจัดการบริหาร | 
          
          
            | และด้านนิติบัญญัติของประเทศนั้น  ๆ โดยทั่วไปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและ | 
          
          
            | รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมมีการจัดทำเป็น  2 แนวทางคือ | 
          
          
            |   | 
            1.1กฎหมายที่ประกอบด้วยกฎหมายอื่น  ๆ หลาย ๆ ฉบับ โดยแต่ละฉบับมีขอบข่าย | 
          
          
            | จำกัดเฉพาะการป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือการควบคุมภาวะมลพิษเรื่องใด | 
            
          
            | เรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น  กฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศ กฎหมายควบคุมมลพิษ | 
          
          
          
            | ทางน้ำ  และกฎหมายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ  เป็นต้น | 
            
          
            |   | 
            1.2กฎหมายที่เป็นฉบับเดียว  เป็นกฎหมายที่มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมการ | 
          
          
            | ป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อม  หรือการควบคุมภาวะมลพิษในทุก ๆ ด้านจากการประกอบ | 
          
          
            | กิจกรรมต่าง ๆ  ซึ่งเป็นลักษณะของกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย คือ พระราชบัญญัติ | 
          
          
            | ส่งเสริมและรักษาสุขภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  พ.ศ. 2518  ซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานที่มี | 
          
          
            | ขอบข่ายกว้างขวางครอบคลุมการป้องกันและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม  และการ | 
          
          
            | ควบคุมมลพิษทุก ๆ  ด้าน รวมถึงการป้องกันและรักษาคุณภาพอากาศและการควบคุม | 
          
          
            | ภาวะมลพิษทางอากาศด้วย | 
          
          
          
            |   | 
            กฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมภาวะมลพิษทางอากาศของ | 
          
          
            | ประเทศไทยปัจจุบัน  ประกอบด้วย | 
            
          
            |   | 
            1. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  พ.ศ. 2518,  | 
          
          
            | 2521, 
              2522 และ 2535  | 
            
          
            |   | 
            2.              พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2484,  2495, 2497, 2505, 2527 และ | 
          
          
            | 2535 | 
            
          
            |   | 
            3. พระราชบัญญัติโรงงาน  พ.ศ. 2512, 2518, 2522 และ 2535 | 
          
          
            |   | 
            4.              พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522  และ 2535  | 
          
          
            |   | 
            5. พระราชบัญญัติจราจรทางบก  พ.ศ. 2522 และ 2535 | 
          
          
            |   | 
            6. พระราชบัญญัติรถยนต์  พ.ศ. 2522 | 
          
          
            |   | 
            7. พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง  พ.ศ. 2521 | 
          
          
            |   | 
            8. พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง  | 
          
          
            | พ.ศ.  2503 | 
            
          
            2.  | 
            กำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศ  เพื่อเป็นเกณฑ์ในการรักษาคุณภาพอากาศใน | 
            
          
            | บรรยากาศให้อยู่ในสภาพที่ดี  ซึ่งมีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ | 
            
          
            | และแหล่งกำเนิดที่สำคัญ  2 ฉบับ คือ | 
            
          
            |   | 
            2.1 มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ  ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและ | 
            
          
            | รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม  พ.ศ. 2535 | 
            
          
            ค่ามาตรฐานของก๊าซและสารในบรรยากาศโดยทั่วไป  | 
            
          
             | 
            
          
            |   | 
            2.2 การกำหนดปริมาณของสารเจือปนในอากาศที่ระบายจากโรงงาน  ออกตาม | 
            
          
            | พระราชบัญญัติโรงงาน  พ.ศ. 2535 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่   2  | 
            
          
            | (พ.ศ. 2536) | 
            
          
            |   | 
            ค่าปริมาณของสารเจือปนในอากาศที่ระบายจากโรงงาน                              | 
            
          
             | 
            
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            3.  | 
            การวางผังเมือง  เพื่อกำหนดเขตโรงงานที่มีไอเสียให้อยู่ในเขตอุตสาหกรรมที่ | 
            
          
            | ห่างไกลจากชุมชนมีการบำบัดไอเสียอย่างถูกหลักวิชาการก่อนปล่อยสู่อากาศ และ  | 
            
          
            | ทำให้เกิดความสะดวกในการควบคุมตรวจสอบ | 
            
          
            4.  | 
            การควบคุมการปล่อยสารปนเปื้อนหรือลดการผลิตสารปนเปื้อนจากแหล่งกำเนิด | 
            
          
            | สารปนเปื้อน  โดยให้มีสารปนเปื้อนออกมาในปริมาณที่น้อยที่สุด ซึ่งจะช่วยลดปัญหาที่ | 
          
          
            | ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและผลเสียอื่น  ๆ ต่อสิ่งแวดล้อม การควบคุมการปล่อย | 
          
          
            | สารปนเปื้อนหรือลดการผลิตสารปนเปื้อนจากแหล่งกำเนิดสามารถกระทำได้หลายวิธี | 
            
          
            | เช่น | 
            
          
            |   | 
            4.1 การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือวิธีการผลิต  ในกระบวนการ | 
          
          
            | อุตสาหกรรมหรือกระบวนการอื่น  ๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น | 
            
          
            |   | 
            4.1.1 การใช้วัสดุอื่นทดแทน  เช่น ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงแทนการใช้ถ่านไม้ในการ | 
          
          
            | หุงต้มเพื่อให้การสันดาปดีขึ้น | 
            
          
            |   | 
            4.1.2 การเปลี่ยนปฏิกิริยาเคมีเพื่อลดสารปนเปื้อน  เช่น โรงงานผลิตกำมะถันที่ | 
          
          
            | ใช้วิธีการผลิตแบบกระบวนการสัมผัสแบบสองชั้นจะช่วยลดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ | 
          
          
            | ออกมาปฏิกริยาในอัตรา  400 –  500 พีพีเอ็ม ขณะที่วิธีการผลิตแบบกระบวนการ | 
          
          
            | สัมผัสชั้นเดียวจะปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์  ออกมาถึง 2,000 – 3,000 พีพีเอ็ม | 
            
          
            |   | 
            4.1.3 ควบคุมการระเหย  ในกระบวนการที่มีการระเหยของสารมลพิษ เช่น  | 
          
          
            | โรงงานผลิตกรดดินประสิว  ถ้าใช้การดูดกลืนในความดันปกติจะทำให้ก๊าซ | 
            
          
            | ไนโตรเจนออกไซด์ปะปนในอากาศประมาณ  1,500 – 2,500 พีพีเอ็ม  แต่ถ้าให้มี | 
          
          
            | การดูดกลืนภายใต้ความดันสูงและมีการหล่อเย็นป้องกันการระเหย  จะลดปริมาณ | 
          
          
            | ไนโตรเจนออกไซด์ให้เหลือประมาณ  500 พีพีเอ็ม | 
            
          
            |   | 
            4.1.4 การบดขูดทุบหรือโม่  ในกระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดการฟุ้งกระจาย | 
          
          
            | ของอนุภาคของของแข็ง  อาจใช้น้ำหรือน้ำมันช่วยให้เกิดความชื้นเพื่อป้องกัน | 
            
          
            | ไม่ให้ฟุ้งกระจาย  เช่น การบดหรือโม่แป้งในลักษณะเปียกจะช่วยป้องกันการฟุ้ง | 
            
          
            | กระจายของเศษข้าวและแป้ง | 
            
          
            |   | 
            4.1.5 การนำสารปนเปื้อนที่เกิดจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ประโยชน์  เพื่อ | 
          
          
            | ลดการปล่อยสารปนเปื้อนออกปะปนในอากาศ  เช่น นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มา | 
          
          
            | ทำน้ำแข็ง  ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์มาผลิตกรดกำมะถัน  หรือนำไอร้อนจากปล่อง | 
          
          
            | ระบายควันมาใช้เป็นพลังงานในการให้ความร้อน  เป็นต้น | 
          
          
          
            |   | 
            4.2 การควบคุมสารปนเปื้อนจากแหล่งกำเนิดก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศ  เป็นการ | 
          
          
            | ควบคุมไม่ให้มีสารปนเปื้อนในบรรยากาศมากเกินไปจนก่อให้เกิดอันตรายซึ่งกระทำ | 
          
          
            | ได้หลายวิธี เช่น  | 
            
          
            |   | 
            4.2.1 การลดความเร็วของอากาศเสีย  เพื่อให้อนุภาคของของแข็งหรืออนุภาคของ | 
          
          
            | ของเหลวในอากาศเสียที่มีน้ำหนักกว่าอากาศตกตะกอน  โดยปล่อยให้ส่วนที่เป็นอากาศ | 
          
          
            | ไหลออกไปสู่บรรยากาศ  เช่น การตกตะกอนอากาศเสียในห้องตกตะกอน | 
            
          
            |   | 
            4.2.2 การเปลี่ยนทิศทางของอากาศเสีย  เป็นการเปลี่ยนทิศทางการไหลของอากาศ | 
          
          
            | เสียอย่างรวดเร็วเพื่อให้อนุภาคซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าอากาศไหลตามอากาศซึ่งมีน้ำหนัก | 
          
          
            | เบากว่าไม่ทันทำให้บางส่วนของอนุภาคกระทบกระเทือนกับผนังอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยน | 
          
          
            | ทิศทางและตะกอนโดยต้องใช้เครื่องมือต่าง  ๆ ช่วยในการดำเนินการ เช่น  | 
          
          
            | เครื่องไซโคลน  (Cyclone Precipitator) | 
            
          
            |   | 
            4.2.3 การดูดซับหรือการดูดซึม  เพื่อกั้นกันหรือดูดซึมสารปนเปื้อนในอากาศเสีย  | 
            
          
            | โดยใช้เครื่องมือหรือตัวกลางที่เป็นของเหลวประเภทน้ำหรือน้ำมันมาใช้ | 
          
          
          
            |   | 
            4.2.4 การทำให้เจือจาง  โดยใช้พัดลมดูดอากาศหรือพัดลมดูดอากาศร่วมกับปล่อง | 
            
          
            | ระบายควัน  เพื่อให้อากาศสกปรกเกิดการเจือจางจากการใช้อากาศสะอาดใน | 
            
          
            | บรรยากาศมาช่วย | 
            
          
            |   | 
            4.3 ใช้อุปกรณ์เพื่อกำจัดสารปนเปื้อนในอากาศ  ซึ่งมีมากมายหลายชนิดขึ้น | 
            
          
            | อยู่กับการนำไปใช้ในการกำจัดหรือแยกสารปนเปื้อน  เช่น เครื่องแยกตะกอนแบบ | 
            
          
            | แรงหนีศูนย์กลางเพื่อใช้แยกอนุภาค  เครื่องสครับเบอร์แบบบรรจุตัวกลาง | 
            
          
            5.  | 
            การให้การศึกษา  ให้ประชาชนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมต่าง ๆ ของ | 
            
          
            | มนุษย์กับปัญหามลพิษทางอากาศ  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องอันจะช่วยให้ | 
          
          
            | การควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  เพราะทำให้เกิด | 
          
          
            | ทัศนคติที่ดีมีเหตุผลและเป็นส่วนเชื่อมโยงให้เกิดเป็นนโยบายและมาตรการต่าง  ๆ | 
          
          
            | ให้ยอมรับถือปฏิบัติในสังคม | 
            
          
            6.  | 
            การใช้เทคโนโลยีใหม่  เพื่อปรับปรุงเชื้อเพลิงและกระบวนการผลิตให้เหมาะสมแต่ | 
            
          
            | ช่วยลดมลพิษในอากาศลง  เช่น การใช้สารเอ็นทีบี แทนสารตะกั่วในการผลิตกับน้ำมัน | 
          
          
            | เบนซินเป็นต้น | 
            
          
            7.  | 
            ควบคุมการเผากำจัดขยะ   ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  โดย | 
            
          
            | ออกแบบเตาเผาที่ทำให้ปริมาณอากาศและเชื้อเพลิงอยู่ในอัตราที่เหมาะสม  มีการ | 
          
          
            | ถ่ายเทอากาศได้เพียงพอและเลือกใช้เชื้อเพลิงที่สามารถลดอนุภาคสารมลพิษได้ | 
            
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
              | 
              | 
              |