| แมลงและสัตว์นำโรคที่ทำให้เกิดโรคและการควบคุมป้องกัน | 
            
          
             | 
            แมลงและสัตว์นำโรคที่เป็นพาหะนำโรคหรือสร้างเหตุรำคาญ  ซึ่งพบมากใน | 
          
          
            | ชีวิตประจำวัน  ประกอบด้วย | 
            
          
            1.   | 
            ยุง เป็นแมลงที่มีขนาดเล็ก มีหนวดยาว 1 คู่ ลำตัวยาวขา และปากยาว มีขา 3 คู่ ยุง | 
            
          
            | ตัวเมียสามารถใช้ปากกัดและดูดเลือดคนและสัตว์  ส่วนยุงตัวผู้จะดูดกินน้ำหวานของ | 
            
          
            | พืชเป็นอาหาร ยุงส่วนมากจะวางไข่ในน้ำได้ทุกประเภทและทุกฤดู  ทำให้มียุงตลอดปี | 
            
          
            | ยุงหลายชนิดที่นำโรคมาสู่คน เช่น  ยุงก้นปล่อง ยุงลาย ยุงเสือ และยุงรำคาญ ยุงนอกจาก | 
          
          
            | จะนำโรคมาสู่คนแล้ว  ยังทำความรำคาญให้คนด้วย  เพราะเป็นสัตว์ที่รบกวนคนด้วย | 
          
          
            | การกัดก่อให้เกิดอาการคัน  ถ้ายุงบินวนอยู่ข้างหู จะทำให้รำคาญนอนไม่หลับ | 
          
          
            |   | 
            วงจรชีวิตของยุง  วงจรของยุงเริ่มจากการที่ยุงตัวเมียถูกผสมพันธุ์หลังลอก | 
            
          
            | คราบจากตัวโม่งซึ่งไม่ไกลจากแหล่งที่เกิดของมัน  ส่วนยุงตัวผู้จะตายหลังจากผสมพันธุ์ | 
            
          
            | ไม่นาน  ยุงตัวเมียจะดูดเลือดคนหรือสัตว์เลือดอุ่น  เพื่อนำไปเสริมสร้างความเจริญของ | 
          
          
            | รังไข่ในท้อง  เมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว  ยุงตัวเมียจะออกไปหาแหล่งน้ำสำหรับวางไข่  | 
          
          
            | ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของยุงเช่น  ยุงก้นปล่องชอบวางไข่ในน้ำใสไหลริน | 
          
          
            | ยุงธรรมดาชอบวางไข่ ในน้ำนิ่ง  โดยทั่วไปแม่ยุงจะเกาะบนผิวน้ำแล้ววางไข่ลงในน้ำ  | 
          
          
            | จำนวนไข่ที่วางแต่ละครั้งมีปริมาณเฉลี่ย  50 – 150 ฟอง ซึ่งยุงสามารถวางไข่ครั้งต่อไป | 
          
          
            |   2 สัปดาห์ นับจากการวางไข่ครั้งแรกยุงบางชนิดวางไข่ในน้ำได้  4 ครั้งจากช่วง | 
          
          
            | อายุขัยของมัน | 
          
          
            |   | 
            การเติบโตของยุงแบ่งได้เป็น  4  ระยะ  คือ ระยะไข่ ระยะตัวอ่อน ระยะดักแด้หรือ | 
            
          
            | ตัวกลางวัย  และระยะตัวแก่หรือตัวเต็มวัย ดังนี้ | 
            
          
            |   | 
            1. ระยะไข่  ยุงจะวางไข่ในแหล่งน้ำเพราะไข่ของยุงต้องการความชื้น เพื่อช่วยให้ | 
            
          
            | ตัวอ่อนแตกออกมาจากไข่ได้ | 
            
          
            |   | 
            2. ระยะตัวอ่อน  ไข่ที่ฟักตัวเป็นลูกน้ำ จะอาศัยอยู่ในน้ำประมาณ 7 วัน จึงจะ | 
            
          
            | กลายเป็น ดักแด้  (เรียกอีกอย่างว่าตัวโม่ง) รับออกซิเจนที่ละลายในน้ำโดยการซึม | 
            
          
            | ผ่านทางผิวหนัง | 
            
          
            |   | 
            3. ระยะดักแด้  ตัวอ่อนจะลอกคราบกลายเป็นตัวดักแด้  ส่วนหัวโตกว่าส่วนหางมาก | 
          
          
            | อาศัยในน้ำ  แต่ไม่กินอาหาร และจะเจริญเติบโตเป็นยุงในระยะเวลา 1 – 5 วัน | 
            
          
            |   | 
            4. ระยะตัวแก่  ยุงจะฟักตัวในที่มืด เงียบสงบ อับลมและมีความชื้นพอสมควร ยุงจะ | 
            
          
            | ออกจากคราบของดักแด้ทางร่องด้านหลังที่มีลักษณะเป็นรูปไม้กางเขนหัวตัด  (T) เมื่อ | 
            
          
            | ใหม่ ๆ  ตัวแก่ยังบินไม่ได้ ต้องเกาะพักเฉย ๆ เพื่อให้ลมเข้าไปตามเส้นปีกก่อนจึง | 
            
          
            | จะบินได้ | 
            
          
            วงจรชีวิตของยุง  | 
            
          
             | 
            
          
            |   | 
              | 
            
          
            |   | 
            ยุงตัวเมียเท่านั้นที่กัดกินเลือดคนและสัตว์เป็นอาหาร  เพราะต้องใช้เลือดเป็น | 
            
          
            | อาหารก่อนวางไข่ทุกครั้ง  ยุงก้นปล่องจะออกหากินเวลากลางคืน ส่วนยุงลายชอบออก | 
            
          
            | หากินกลางวันอายุขัยของยุงตัวเมียจะยืนยาวกว่าตัวผู้  ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการถ่ายทอด | 
            
          
            | โรคต่าง ๆ มาสู่คนการเป็นพาหะนำโรคของยุงเกิดจากการที่ยุงดูดเลือดที่มีเชื้อโรค  | 
          
          
            | และสำรอกน้ำลายที่มีเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดให้กับคนที่ถูกดูดเลือดทำให้เกิดโรคได้ | 
          
          
            |   | 
            โรคติดต่อที่เกิดจากยุง | 
          
          
            |   | 
            ยุงเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มีความสัมพันธ์ต่อการดำรงชีวิตของคนมากเพราะเป็น | 
          
          
            | สาเหตทำให้เกิดความรำคาญจากการที่ยุงมากัดกินเลือด  และทำให้เกิดอาการแพ้ | 
          
          
            | เป็นตุ่มผื่นคัน  รวมทั้งอาจเป็นพาหะนำโรคติดต่อร้ายแรงซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้  | 
          
          
            | โรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะนำโรค ได้แก่  | 
            
          
            |   | 
            1. โรคมาลาเรียหรือโรคไข้จับสั่น  มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค การเกิดโรคนี้ | 
          
          
            | เริ่มจากการที่ยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีปรสิตโปรโตรชัวของเชื้อมาลาเรีย  ระยะติดต่อ | 
            
          
            | อยู่ในน้ำลายของยุง  เมื่อยุงกัดและดูดเลือดคน  มักจะปล่อยเชื้อมาลาเรียนี้เข้าสู่กระแส | 
          
          
            | เลือดของคนที่ถูกยุงกัดเชื้อมาลาเรียจะเคลื่อนไปที่ตับเพื่อแบ่งเซลล์ประมาณ5–14 วัน  | 
          
          
            | แล้วเติบโตเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อกินฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงเป็นอาหาร | 
            
          
            |   | 
            อาการของโรคมาลาเรีย  เมื่อร่างกายได้รับเชื้อตั้งแต่ 1- 3 สัปดาห์ เชื้อจะเข้าสู่ | 
          
          
            | เม็ดเลือดแดงและทำลายเซลล์ของเม็ดเลือดแดงเพราะใช้เป็นอาหาร  โดยทั่วไปผู้ป่วย | 
          
          
            | เป็นมาลาเรีย  จะมีอาการคล้ายไข้หวัด  มีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มีอาการ | 
          
          
            | หนาวสั่นเป็นช่วง ๆ นานประมาณ  15 นาที –  1 ชั่วโมงต่อครั้ง ซึ่งเกิดจากการที่ | 
          
          
            | เม็ดเลือดแดงแตก มีไข้สูงตัวร้อน คลื่นไส้อาเจียน  และมี เหงื่อออกตามผิวหนัง  | 
          
          
            | โรคมาลาเรียบางชนิดถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เสียชีวิตได้ | 
          
          
            |   | 
            2. โรคไข้เลือดออก  มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรคซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง | 
          
          
            | การเกิดโรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสของโรคเจริญเติบโตอยู่ในกระเพาะ | 
            
          
            | อาหารและต่อมน้ำลายของยุง  เมื่อยุงไปกัดคนจะปล่อยเชื้อไวรัสเข้าไปในกระแสเลือด | 
          
          
            | เพื่อฟักตัว | 
          
          
            |   | 
            โรคไข้เลือดออกมักเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า  15 ปีมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมี | 
          
          
            | อาการไข้สูง หน้าและตาแดง  ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว แขนและขา เบื่ออาหาร  | 
          
          
            | อ่อนเพลีย  เซื่องซึม ท้องผูก อาเจียน  เจ็บคอ ปวดท้อง ตับโต ถ้ามีอาการไข้นาน | 
          
          
            | ประมาณ 2 – 3 วัน จะเริ่มมีจุดแดง  ๆ  คล้ายตุ่มหรือรอยจ้ำเลือดตามใต้ผิวหนัง | 
          
          
            | บริเวณแขนขา รักแร้ หน้า และลำตัว ผู้มีอาการเจ็บป่วยรุนแรง  มี | 
          
          
            | อาการเสียเลือดจากการที่มีเลือดออกทางระบบทางเดินอาหาร ทำให้ความดันเลือดต่ำ  | 
          
          
            | กระสับกระส่าย  เหงื่อออก ชีพจรเต้นเบาและเร็ว จนหมดสติ และเสียชีวิตได้ | 
          
          
            |   | 
            3. โรคไข้สมองอักเสบ  มียุงรำคาญและยุงเสือ เป็นพาหะนำโรคซึ่งเป็นเชื้อ | 
          
          
            | ไวรัสชนิดหนึ่ง   การเกิดโรคไข้สมองอักเสบมีสาเหตุจากการที่ยุงรำคาญดูดเลือดสัตว์ | 
            
          
            | ที่มีเชื้อไวรัสดังกล่าวเข้าร่างกายและปล่อยเชื้อไข้สมองอักเสบเข้าสู่ทางกระแสเลือดและ | 
            
          
            | แพร่กระจายไปยังสมองหรือระบบประสาทส่วนกลางของคน | 
            
          
            |   | 
            โรคไข้สมองอักเสบส่วนใหญ่พบในเด็กอายุต่ำกว่า  15 ปี ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ | 
          
          
            | สูงปานกลาง  ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เซื่องซึม คอและหลังแข็งกล้ามเนื้อ | 
            
          
            | ขาตึงประสาทสัมผัสผิดปกติ  ตาพร่ามัว มีอาการเพ้อ ชักเกร็งอาจเป็นอัมพาตและ | 
            
          
            | ทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและกลับหายเป็นปกติ  อาจมีความพิการ | 
            
          
            | ทางสมอง | 
            
          
            |   | 
            4. โรคเท้าช้าง  มียุงรำคาญ ยุงก้นปล่อง ยุงลาย และยุงเสือ เป็นพาหะนำโรคที่ | 
            
          
            | เกิดจากพยาธิตัวกลมที่มีตัวแก่ของพยาธิฟิลาเรียอาศัยในหลอดน้ำเหลือง  และมีตัวอ่อน | 
            
          
            | อยู่ในกระแสเลือดซึ่งเติบโตในตัวยุง  เมื่อยุงกัดคน ตัวอ่อนของพยาธิจะเติบโตเป็นตัว | 
            
          
            | แก่อยู่ในหลอดน้ำเหลืองของคน | 
            
          
            |   | 
            ผู้ป่วยเป็นโรคเท้าช้างจะมีอาการอ่อนเพลีย  เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เซื่องซึม | 
            
          
            | เหงื่อ ออก  เป็นไข้เฉียบพลัน มีอาการไข้สูง 1 – 2 วัน แล้วลดลง บางรายมีไข้ต่ำ | 
            
          
            | เป็น ๆ  หาย ๆต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาจะบวมแดง  แล้วค่อย ๆ มีผิวหนังหนาและขรุขระ | 
            
          
            | ขึ้นเรื่อย ๆ จะมีขาโตกว่าปกติ จึงเรียกว่าโรคเท้าช้าง  ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมี | 
            
          
            | อัณฑะโตด้วย | 
            
          
            |   | 
            การกำจัดและควบคุมป้องกันยุง | 
          
          
            |   | 
            การเกิดโรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรคต่าง  ๆ  ดังกล่าวทำให้ต้องมีการกำจัดและ | 
          
          
            | ควบคุมป้องกันยุงเพื่อระงับเหตุของการเกิดโรค  ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ | 
            
          
            |   | 
            1. การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์  เป็นวิธีการป้องกันไม่ให้ยุงวางไข่ได้โดยปรับปรุง | 
          
          
            | สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการวางไข่ของยุง  เช่น | 
            
          
            |   | 
            1.1 การทำท่อระบายน้ำ  โดยการขุดทำเป็นท่อเป็นร่องเพื่อระบายน้ำ ซึ่งการวางท่อ | 
          
          
            | หรือขุดรางระบายน้ำต้องมีความลาดเอียงของคูในแนวนอนเพื่อให้น้ำไหลสะอาด  | 
            
          
            | คูที่สร้างขึ้นต้องสะอาดอยู่เสมอ  ก้นคูควรแคบลงเพื่อไม่ให้น้ำขัง  | 
            
          
            |   | 
            1.2 การถมที่  ถ้าเป็นพื้นที่ไม่สามารถระบายน้ำได้ควรถมที่ด้วยดิน ขี้เถ้าแกลบวัสดุ | 
          
          
            | อื่น ๆ  ที่ไม่บูดเน่าเพื่อทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ถ้ามีภาชนะที่ใช้ขังน้ำควรเปลี่ยน | 
          
          
            | น้ำเป็นประจำเพื่อไม่ให้ลูกน้ำเติบโตได้ | 
          
          
            |   | 
            1.3 ให้ความรู้ด้านสาธารณสุขแก่ประชาชน  โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกำจัดแหล่ง | 
            
          
            | เพาะพันธุ์ยุงเพื่อป้องกันโรคต่าง  ๆ เช่น ไม่ทิ้งภาชนะ กระป๋อง หรือยางรถยนต์ไว้ใต้ | 
            
          
            | ถุนบ้านหมั่นตรวจโอ่ง  ตุ่มน้ำ แจกัน น้ำในภาชนะรองขาตู้ใส่อาหาร ไม่ให้มีลูกน้ำรวม | 
            
          
            | ทั้งรักษาบริเวณบ้านอย่าให้มีหญ้าขึ้นรกรุงรังเป็นที่อาศัยของยุง  | 
            
          
            |   | 
            1.4 ปิดฝาภาชนะที่เก็บน้ำให้มิดชิด  เพื่อไม่ให้ยุงเข้าไปวางไข่ได้ | 
            
          
            |   | 
            2. การควบคุมลูกน้ำ  เป็นการตัดวงจรชีวิตของยุงก่อนเติบโตเป็นยุงซึ่งมีวิธีการ | 
            
          
            | ต่าง ๆ คือ  | 
            
          
            |   | 
            2.1 ใช้น้ำมัน  เช่น น้ำมันก๊าด ดีเซล หรือน้ำมันอื่น ๆ เพื่อให้น้ำมันแผ่กระจายบน | 
            
          
            | พื้นผิวน้ำให้ทั่ว  โดยพ่นในแหล่งน้ำใหญ่ ๆ บริเวณริมฝั่งหรือที่มีพืชน้ำเท่านั้น | 
            
          
            |   | 
            2.2 ใช้สารหนูเขียว  ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีทองแดง สารหนู   และกรดอะชีติก  | 
            
          
            | ผสมกับปูนขาว  แป้งฝุ่น ใช้พ่นให้ฟุ้งกระจายบนผิวน้ำในขนาด 300   มิลลิกรัมต่อ | 
            
          
            | ตารางเมตร | 
            
          
            |   | 
            2.3 ยาฆ่าลูกน้ำอื่น  ๆ เช่น | 
            
          
            |   | 
            ดีดีที    ผสมน้ำมันดีเซล  ในอัตราส่วน 50 กรัมต่อน้ำมัน 1 แกลลอนต่อ 1 ไร่  | 
          
          
            |   | 
            ดีลดริน   ในอัตราส่วน 20 กรัม ผสมน้ำหรือน้ำมันดีเซล  พ่นบนผิวน้ำได้ 1 ไร่ | 
            
          
            |   | 
            อเบต    เป็นทรายอเบตใส่น้ำ 1 ส่วนต่อน้ำล้านส่วน  ให้ฤทธิ์นาน 3 เดือน  | 
            
          
            | สามารถฆ่าลูกน้ำได้ทุกชนิด  และมีพิษต่อคนหรือสัตว์น้ำน้อยมาก | 
            
          
            |   | 
            2.4 การเลี้ยงปลากินลูกน้ำ  เช่น ปลากัด ปลาหางนกยูง และปลาเงินปลาทอง เพื่อ | 
            
          
            | กินลูกน้ำและเลี้ยงเพื่อความสวยงาม | 
            
          
            |   | 
            2.5 การเลี้ยงยุงยักษ์หรือยุงช้าง  เป็นยุงที่ไม่กัดคนแต่กินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ | 
            
          
            | เป็นอาหาร  ลูกน้ำยุงยักษ์จะกินลูกน้ำของยุงอื่นเป็นอาหาร ซึ่งเป็นวิธีควบคุมและทำลาย | 
            
          
            | ลูกน้ำของยุงชนิดที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม | 
            
          
            |   | 
            3. การควบคุมป้องกันและกำจัดยุง  เพื่อตัดวงจรการแพร่เชื้อโรคของยุง ซึ่งมี | 
            
          
            | กรรมวิธีต่าง ๆ เช่น  | 
            
          
            |   | 
            3.1 การตบ  เมื่อยุงมากัดแต่เป็นวิธีที่ได้ผลในการกำจัดน้อยที่สุดเพราะเราไม่ | 
            
          
            | สามารถไล่ตบยุงทุกตัว | 
            
          
            |   | 
            3.2 ทำให้ไข่ยุงฝ่อ  ด้วยการเลี้ยงยุงตัวผู้ในห้องปฏิบัติการ และใช้สารเคมี ชื่อเค | 
            
          
            | โมสเตอริแล้นท์  หรือฉายรังสี เพื่อให้ยุงตัวผู้เป็นหมัน (เชื้ออสุจิฝ่อ) แล้วปล่อยไปผสม | 
            
          
            | พันธุ์กับยุงตัวเมียในธรรมชาติ  ไข่ที่ได้รับเชื้ออสุจิที่เป็นหมันจะฝ่อลง | 
            
          
            |   | 
            3.3 ใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่น  เพื่อฆ่ายุงไม่ให้มารบกวน มีวิธีการที่หลากหลาย เช่น | 
            
          
            |   | 
            การฉีดหมอกควัน  (Swing Fog) เหมาะสำหรับฉีกในบริเวณกว้างเพื่อป้องกัน | 
            
          
            | และกำจัดยุงในโครงการป้องกันและกำจัดไข้เลือดออกของราชการ | 
            
          
            |   | 
            การฉีดสารฆ่าแมลงออกฤทธิ์ตกค้าง  (Residual   Spray)   เป็นการฉีดสารที่ | 
            
          
            | แมลงออกฤทธิ์ตกค้างไว้ตามฝาผนังในบริเวณต่าง  ๆ เมื่อยุงมาเกาะพักจะได้รับสารพิษ | 
            
          
            | เข้าสู่ร่างกายและทำให้ตายได้  นิยมใช้กำจัดยุงก้นปล่องซึ่งมีนิสัยชอบเกาะพักหลัง | 
            
          
            | ดูดเลือดคน  จึงเป็นวิธีการที่ใช้ในโครงการกวาดล้างโรคมาลาเรีย | 
            
          
            |   | 
            3.4 ใช้ตะแกรงหรือมุ้งลวด  ติดตามประตู หน้าต่าง  หรือช่องลมต่าง ๆ  ในบ้านเพื่อ | 
            
          
          
            | ป้องกันไม่ให้ยุงเข้าสู่บริเวณที่พักอาศัยได้ | 
            
          
            2.  | 
            แมลงวัน   เป็นพาหะนำโรคมาสู่คน   เป็นสัตว์ที่มีสองตาเป็นประเภทตาผสม ตั้งอยู่ | 
            
          
            | หน้าสุดของส่วนหัว  สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้รอบตัว มีปีกสองปีกบางใส ปากยืดหด | 
            
          
            | ได้  ขามีสีน้ำตาลปนดำมี  3 คู่ ลำตัวสีเทายาวประมาณ 6 – 7 มิลลิเมตร มีขนเล็ก ๆ | 
            
          
            | ขึ้นอยทั่วไป  ลำตัวมีทั้งหมดหกปล้อง  ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย แมลงวันชอบ | 
            
          
            | กินอาหารบนสิ่งที่เน่าเปื่อย อาหารสดคาว  เศษอาหาร  รวมทั้งมูลสัตว์หรือคนซึ่งอาจ | 
            
          
            | มีเชื้อโรคต่าง ๆ แมลงวันที่แพร่โรคสู่คนในประเทศไทยมี  4  ชนิด  คือ แมลงวันบ้าน | 
            
          
            | แมลงวันหัวเขียว แมลงวันลายเสือ และแมลงวันดูดเลือด | 
            
          
            |   | 
            วงจรชีวิตของแมลงวัน | 
            
          
            |   | 
            การเจริญเติบโตของแมลงวันเริ่มจากการที่แมลงวันตัวเมียเริ่มวางไข่เมื่อมันมี | 
            
          
            | อายุได้ประมาณ  4 – 20 วัน (นับตั้งแต่วันที่มันเป็นตัวเต็มวัย) โดยจะวางไข่บน | 
            
          
            | อินทรียวัตถุที่ชื้น  อบอุ่น เช่น มูลสัตว์  อุจจาระคน เศษอาหารหรือกองขยะ และซากสัตว์ | 
            
          
            | ซึ่งจะวางไข่แมลงวันจะออกไข่ครั้งละประมาณ  75 – 150 ฟอง โดยเฉลี่ยตลอดชีวิต | 
            
          
            | ของมันจะออกไข่ได้  5 – 6 ครั้ง  มีช่วงห่างของการออกไข่แต่ละครั้งประมาณ 3 – 4 วัน | 
            
          
            | วงจรของแมลงวันแบ่งออกได้  4 ระยะ คือ  | 
            
          
            |   | 
            1. ระยะเป็นไข่  ไข่แมลงวันมีสีขาวนวล รูปร่างยาวรีประมาณ 1 มิลลิเมตร ในหน้า | 
            
          
            | ร้อนไข่จะฟักตัวกลายเป็นหนอนในเวลา  8 – 24 ชั่วโมง | 
            
          
            |   | 
            2. ระยะตัวอ่อน  หรือตัวหนอน มีรูปร่างยาวรีประมาณ 10 – 12 มิลลิเมตร ตัวอ่อน | 
            
          
            | จะมีการลอกคราบ  3 ครั้งก่อนจะเป็นดักแด้ | 
            
          
            |   | 
            3. ระยะตัวโม่งหรือดักแด้  ลำตัวจะหดสั้นกว่าตัวหนอน สีน้ำตาล มีเกราะหุ้มไม่กิน | 
            
          
            | อาหาร  ไม่เคลื่อนไหว มักพบตามขอบส่วนที่แห้งของวัตถุที่มันอาศัยอยู่ | 
            
          
            |   | 
            4. ระยะตัวเต็มวัย  เป็นแมลงวันที่ออกจากตัวโม่ง เริ่มไต่ไปมาประมาณ 1 – 15  | 
            
          
            | ชั่วโมงจนปีกของมันคลี่ออก  ตัวแห้งและแข็งแล้วจึงเริ่มผสมพันธุ์ | 
            
          
            วงจรชีวิตของแมลงวัน                                            | 
            
          
             | 
            
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
            โรคติดต่อที่เกิดจากแมลงวัน | 
            
          
            |   | 
            จากการที่แมลงวันมีขนตามตัวขา  ชอบกินของสกปรก จึงเป็นตัวนำเชื้อโรค | 
            
          
            | เป็นอย่างดี  เมื่อมันมาเกาะกินอาหารจนอิ่ม มันมักจะถูเสียดสีขาคู่หน้า ทำให้เชื้อ | 
            
          
            | โรคที่ติดมากับขนขาร่วงหล่นบนอาหาร  จึงเป็นการปล่อยเชื้อโรคในอาหารที่เรากิน | 
            
          
            | เข้าไปทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง  ๆ เช่น  | 
            
          
            |   | 
            1. โรคไข้รากสาดน้อยหรือไทฟอยด์  เป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร | 
            
          
            | เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อซัลโมเนลลา  ไทฟี (Salmonella   Typhi)ที่อยู่ปะปน | 
            
          
            | ในอุจจาระเมื่อแมลงวันไปตอมอุจจาระของผู้ป่วยแล้วมาเกาะอาหาร  จึงเป็นพาหะนำ | 
            
          
            | เชื้อโรคนี้แพร่เข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยเป็นโรคไข้รากสาดน้อยจะมีอาการไข้  ปวดหรือ | 
            
          
            | เวียนศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว  ปวดเมื่อยตามร่างกายเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย  ริมฝีปากแห้ง | 
            
          
            | อาจท้องเดินหรือท้องผูกได้ ถ้ามีไข้สูงผู้ป่วยจะซึม เพ้อชีพจรเต้นช้า  ลิ้นเป็น ฝ้าหนา | 
            
          
            | ซึ่งถ้ามีโรคแทรกซ้อน เช่น เลือดออกในลำไส้ และลำไส้ทะลุ อุจจาระมีสีดำหรือถ่าย | 
            
          
            | เป็นเลือดสด  ๆ เพราะมีการอักเสบหรือเป็นแผลที่ต่อมน้ำเหลืองในลำไส้ทำให้ช็อค | 
            
          
            | และหมดสติหรือเสียชีวิตได้ | 
            
          
            |   | 
            2. โรคบิด  เป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากเชื้อโรคบิดอะมีบิก | 
            
          
            | (Amebic Dysentery) ซึ่งเป็นบิดชนิดมีตัว หรือ เชื้อโรคบิดแบคซีลลารี่ (Bacillary- | 
            
          
            | Dysentery) ที่เกิด จากเชื้อแบคทีเรียมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น  เชื้อโรคบิดทั้งสอง | 
            
          
            | ชนิดจะปนอยู่ในอุจจาระ  เมื่อแมลงวันไปตอมอุจจาระที่มีเชื้อโรคบิดและมาเกาะ | 
            
          
            | อาหารหรือน้ำดื่มน้ำใช้ที่นำมาอุโภคบริโภค  จึงเป็นการรับเชื้อบิดเข้าสู่ร่างกาย | 
            
          
            |   | 
            ผู้ป่วยเป็นโรคบิดจะมีอาการอึดอัดในท้อง  ท้องร่วงสลับท้องผูก  ถ่ายอุจจาระบ่อย | 
            
          
            | ประมาณ  5 - 10 ครั้งต่อวัน เป็นการถ่ายกะปริบกระปรอย ปวดถ่วงที่ท้องน้อย อุจจาระ | 
          
          
            | เหลวสีน้ำตาล  อาจมีมูกเลือดหรือหนองปน กลิ่นเหม็นคล้ายหัวกุ้งเน่า อาจมีไข้ต่ำ  | 
          
          
            | ถ้าปล่อยเรื้อรังเชื้อโรคจะลุกลามเข้ากระแสเลือด  ทำให้เกิดเป็นฝีที่ตับ ปอด สมอง   | 
          
          
            | ลำไส้ทะลุหรือข้ออักเสบได้  | 
            
          
            |   | 
            3. อหิวาตกโรค  เป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารอีกประเภทหนึ่งที่เกิดจาก | 
            
          
            | เชื้อแบคทีเรียชื่อ  วิปริโอ คอเลอรี (Vevrio Cholerae) ซึ่งติดต่อได้จากการดื่มน้ำและ | 
          
          
            | กินอาหารไม่สะอาดและมีแมลงวันมาตอมโดยนำเชื้อโรคติดมาด้วย | 
            
          
            |   | 
            ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเดิน  ลักษณะอุจจาระในระยะแรกมีเศษอาหาร ต่อมาจึงถ่าย | 
            
          
            | เป็นน้ำคล้ายน้ำซาวข้าวกลิ่นเหม็นคาวจัด  ร่างกายอ่อนเพลีย ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะ | 
          
          
            | เกิดอาการช็อค มีความรู้สึกกระหายน้ำรุนแรง  เป็นตะคริว เสียงแห้ง แก้มตอบ มือและ | 
          
          
            | นิ้วเหี่ยวย่น ตัวเย็น  เนื่องจากเสียเกลือแร่ไปกับอุจจาระ  ชีพจรและความดันโลหิต | 
            
          
            | ต่ำจนวัดไม่ได้และเสียชีวิตในที่สุด | 
            
          
            |   | 
            นอกจากโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารแล้ว  แมลงวันยังทำให้เกิดตัว | 
            
          
            | หนอนในแผลที่เป็นแผลพุพอง  แผลไฟไหม้ เพราะเป็นหนอนที่เติบโตจากไข่ซึ่ง | 
          
          
            | แมลงวันไปวางไข่ในแผลสกปรกนั้น | 
          
          
          
            |   | 
            การกำจัดและควบคุมป้องกันแมลงวัน | 
            
          
            |   | 
            จากการที่แมลงวันเป็นตัวแพร่เชื้อโรคต่าง  ๆ มาสู่คน ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้ามี | 
            
          
            | อาการป่วยรุนแรง  หรือเรื้อรัง ดังนั้น การกำจัดและควบคุมป้องกันแมลงวัน | 
            
          
            | จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสุขภาพที่ดี  โดยมีรายละเอียด  ดังนี้ | 
            
          
            1.  | 
            การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน  เพื่อควบคุมไม่ให้แมลงวันแพร่ขยายพันธุ์ได้ | 
            
          
            | ครบตามวงจร  ซึ่งทำให้จำนวนแมลงวันน้อยลงด้วยการปรับปรุงการสุขาภิบาล ดังนี้ | 
            
          
            |   | 
            1.1 สร้างส้วมที่ถูกสุขลักษณะและดูแลรักษาห้องส้วมให้สะอาดอยู่เสมอ  ถ้าเป็น | 
            
          
            | ส้วมหลุมควรมีฝาปิดช่องถ่ายทุกครั้งหลังเลิกใช้ส้วม  ท่อระบายอากาศของส้วมต้อง | 
            
          
            | มีตะแกรงปิดเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงวันบินลงในหลุมส้วมได้  | 
            
          
            |   | 
            1.2 เก็บกักขยะมูลฝอยหรือเศษอาหารให้มิดชิด  โดยเก็บไว้ในถุงพลาสติกที่บรรจุ | 
            
          
            | ในถังโลหะหรือพลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิดและไม่รั่วซึม  ควรกำจัดขยะหรือเศษอาหาร | 
            
          
            | ด้วยการนำไปฝัง เผา  ถมปรับที่หรือนำไปต้มเลี้ยงสัตว์  | 
            
          
            |   | 
            1.3 เก็บและกำจัดมูลสัตว์  ด้วยการใช้บ่อผลิตก๊าซชีวภาพ เพื่อหมักให้เกิดก๊าซ | 
            
          
            | มีเทนจากมูลสัตว์  ซึ่งสามารถใช้เป็นประโยชน์ในการหุงต้ม ส่วนกากที่เหลือใช้ทำปุ๋ยได้ | 
            
          
            | สำหรับมูลสัตว์ที่มีปริมาณไม่มากควรเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด  ไม่รั่วซึม และนำ | 
            
          
            | ไปกำจัดด้วยการตากแห้งให้ทั่วถึงเพราะแดดและความร้อนจะฆ่าหนอนแมลงวันได้ | 
            
          
            |   | 
            1.4 จัดให้มีการบำบัดและกำจัดน้ำเสียให้เหมาะสม  เป็นสารสังเคราะห์ที่มี | 
            
          
            | โครงสร้างเหมือนจูวินายล์  ฮอร์โมนใช้ในการควบคุมการเจริญเติบโตของแมลงวัน | 
            
          
            | ในระยะที่หนอนกำลังจะเติบโตเป็นตัวโม่ง  ทำให้ไม่สามารถเจริญเป็นตัวแก่ได้ หรือถ้า | 
            
          
            | รอดชีวิตเป็นตัวแก่ก็จะไม่เติบโตเต็มที่  ทำให้จำนวนไข่ลดลง มีอายุขัยสั้นลง | 
            
          
            |   | 
            1.5 การใช้วิธีชีวภาพ  ด้วยการเลี้ยงสัตว์ที่กินหนอน เช่น นก ไก่ หรือปลา เพื่อตัด | 
            
          
            | วงจรชีวิติของแมลงวัน | 
            
          
            2.  | 
            การทำลายตัวแก่ของแมลงวัน  เพื่อลดจำนวนแมลงวันลงซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธี | 
            
          
            | ต่าง ๆ  ดังนี้ | 
            
          
            |   | 
            2.1 ใช้สารเคมีทำลาย  อาจใช้ดีดีทีพ่นตามบ้านเรือนหรือสถานที่ที่แมลงวันชอบ | 
            
          
            | เกาะพักหรือกองขยะมูลฝอย  แต่ห้ามพ่นในอาหารหรือน้ำดื่ม | 
            
          
            |   | 
            2.2 การใช้เหยื่อพิษ  โดยใส่สารมีพิษผสมลงในเหยื่อที่แมลงวันชอบ เช่น น้ำตาล | 
            
          
            | กากน้ำตาล  ซังข้าวโพดบด นำใส่จานล่อให้แมลงวันมากินอาหารที่มีพิษ แมลงวันก็ | 
            
          
            | จะตาย  แต่ควรระมัดระวังมิให้เด็กหรือสัตว์เลี้ยงสัมผัสกับเหยื่อพิษและปกปิดอาหารให้ | 
            
          
            | มิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงวันที่ตอมยาไปตอมอาหารได้  เพราะจะเป็นอันตรายถึง | 
            
          
            | ชีวิต | 
            
          
            |   | 
            2.3 การใช้กระดาษหรือเชือกชุบยาฆ่าแมลง  ด้วยการตัดเชือกไปชุบยาฆ่าแมลง  | 
            
          
            | เช่น  พาราไธออนหรือไดอาซินอน แขวนไว้บนเพดานสูง ๆ ในที่ที่มีแมลงวันชุกชุม  | 
            
          
            | เพื่อให้แมลงวันเกาะเชือกในเวลากลางคืน | 
            
          
            |   | 
            2.4 การใช้รังสีหรือสารเคมีทำให้แมลงวันเป็นหมัน  ให้ฉีกพ่นที่ตัวแมลงวันสาร | 
            
          
            | เคมีเหล่านี้จะไปทำลายระบบสืบพันธุ์ทำให้แมลงวันเป็นหมัน  ไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ | 
            
          
            |   | 
            2.5 ใช้กับดักหรือกรงดักแมลงวัน  วิธีใช้คือ นำกรงดักแมลงวันไปตั้งในที่ที่มี | 
            
          
            | แมลงวันชุกชุม  นำเหยื่อเช่น เศษปลา เศษอาหารใส่ถาด เพื่อล่อแมลงวันมาตอม  | 
            
          
            | โดยปกติแมลงวันจะบินขึ้นเพื่อหาแสงสว่าง  จึงเป็นการบินเข้าไปใสส่วนกรงดัก ไม่ | 
          
          
            | สามารถบินลงมาได้  การวางกรงดักให้ใช้ตอนกลางวันเพราะเป็นช่วงเวลาหากินของ | 
          
          
            | แมลงวัน | 
            
          
            |   | 
            2.6 ใช้กาวจับแมลงวันซึ่งเป็นแถบกว้างประมาณ 1 นิ้วดึงให้ยาวประมาณ 1 เมตร  | 
            
          
            | นำไปแขวนตามหน้าต่างหรือเพดานที่มีแมลงวันบินผ่าน  เมื่อแมลงวันเกาะติดจำนวน | 
          
          
            | มากก็ฉีกส่วนนั้นทิ้งแล้วดึงแถบกาวใหม่มาแขวน | 
            
          
            |   | 
            2.7 ใช้ไม้ตีแมลงวัน  คอยไล่ตีแมลงวันซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะกับบ้านเรือนหรือบริเวณ | 
            
          
            | ที่มีแมลงวันไม่มาก  และไม่เกิดอันตรายใด ๆ ถ้าตีแมลงวันตัวเมียตาย 1 ตัว เป็นการ | 
          
          
            | ยับยั้งไม่ให้แมลงวันเกิดอย่างต่ำ  300  ตัว หรืออาจถึง 750  ตัว | 
          
          
          
            |   | 
            2.8 ใช้เชือกแขวนห้อยจากเพดาน  เพื่อให้แมลงวันมาเกาะแล้วใช้ถุงพลาสติก | 
            
          
            | ครอบจับแมลงวัน  อาจใช้กาวจับไปทาที่เชือกช่วยจับแมลงวัน | 
            
          
            |   | 
            2.9 ใช้มุ้งลวดหรือตาข่ายกรุ  บริเวณห้องครัว ห้องอาหาร หรือบ้านพักอาศัย เพื่อ | 
            
          
            | ป้องกันไม่ให้แมลงวันเข้ามาภายในห้อง | 
            
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
              | 
              | 
              |