แมลงและสัตว์นำโรคที่ทำให้เกิดโรคและการควบคุมป้องกัน
แมลงและสัตว์นำโรคที่เป็นพาหะนำโรคหรือสร้างเหตุรำคาญ ซึ่งพบมากใน
ชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย
1.
ยุง เป็นแมลงที่มีขนาดเล็ก มีหนวดยาว 1 คู่ ลำตัวยาวขา และปากยาว มีขา 3 คู่ ยุง
ตัวเมียสามารถใช้ปากกัดและดูดเลือดคนและสัตว์  ส่วนยุงตัวผู้จะดูดกินน้ำหวานของ
พืชเป็นอาหาร ยุงส่วนมากจะวางไข่ในน้ำได้ทุกประเภทและทุกฤดู ทำให้มียุงตลอดปี
ยุงหลายชนิดที่นำโรคมาสู่คน เช่น ยุงก้นปล่อง ยุงลาย ยุงเสือ และยุงรำคาญ ยุงนอกจาก
จะนำโรคมาสู่คนแล้ว ยังทำความรำคาญให้คนด้วย เพราะเป็นสัตว์ที่รบกวนคนด้วย
การกัดก่อให้เกิดอาการคัน ถ้ายุงบินวนอยู่ข้างหู จะทำให้รำคาญนอนไม่หลับ
  วงจรชีวิตของยุง  วงจรของยุงเริ่มจากการที่ยุงตัวเมียถูกผสมพันธุ์หลังลอก
คราบจากตัวโม่งซึ่งไม่ไกลจากแหล่งที่เกิดของมัน ส่วนยุงตัวผู้จะตายหลังจากผสมพันธุ์
ไม่นาน ยุงตัวเมียจะดูดเลือดคนหรือสัตว์เลือดอุ่น เพื่อนำไปเสริมสร้างความเจริญของ
รังไข่ในท้อง เมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ยุงตัวเมียจะออกไปหาแหล่งน้ำสำหรับวางไข่
ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของยุงเช่น ยุงก้นปล่องชอบวางไข่ในน้ำใสไหลริน
ยุงธรรมดาชอบวางไข่ ในน้ำนิ่ง โดยทั่วไปแม่ยุงจะเกาะบนผิวน้ำแล้ววางไข่ลงในน้ำ
จำนวนไข่ที่วางแต่ละครั้งมีปริมาณเฉลี่ย 50 – 150 ฟอง ซึ่งยุงสามารถวางไข่ครั้งต่อไป
2 สัปดาห์ นับจากการวางไข่ครั้งแรกยุงบางชนิดวางไข่ในน้ำได้ 4 ครั้งจากช่วง
อายุขัยของมัน
  การเติบโตของยุงแบ่งได้เป็น  4  ระยะ คือ ระยะไข่ ระยะตัวอ่อน ระยะดักแด้หรือ
ตัวกลางวัย และระยะตัวแก่หรือตัวเต็มวัย ดังนี้
  1. ระยะไข่ ยุงจะวางไข่ในแหล่งน้ำเพราะไข่ของยุงต้องการความชื้น เพื่อช่วยให้
ตัวอ่อนแตกออกมาจากไข่ได้
  2. ระยะตัวอ่อน ไข่ที่ฟักตัวเป็นลูกน้ำ จะอาศัยอยู่ในน้ำประมาณ 7 วัน จึงจะ
กลายเป็น ดักแด้ (เรียกอีกอย่างว่าตัวโม่ง) รับออกซิเจนที่ละลายในน้ำโดยการซึม
ผ่านทางผิวหนัง
  3. ระยะดักแด้  ตัวอ่อนจะลอกคราบกลายเป็นตัวดักแด้ ส่วนหัวโตกว่าส่วนหางมาก
อาศัยในน้ำ แต่ไม่กินอาหาร และจะเจริญเติบโตเป็นยุงในระยะเวลา 1 – 5 วัน
  4. ระยะตัวแก่ ยุงจะฟักตัวในที่มืด เงียบสงบ อับลมและมีความชื้นพอสมควร ยุงจะ
ออกจากคราบของดักแด้ทางร่องด้านหลังที่มีลักษณะเป็นรูปไม้กางเขนหัวตัด (T) เมื่อ
ใหม่ ๆ ตัวแก่ยังบินไม่ได้ ต้องเกาะพักเฉย ๆ เพื่อให้ลมเข้าไปตามเส้นปีกก่อนจึง
จะบินได้
วงจรชีวิตของยุง
   
  ยุงตัวเมียเท่านั้นที่กัดกินเลือดคนและสัตว์เป็นอาหาร เพราะต้องใช้เลือดเป็น
อาหารก่อนวางไข่ทุกครั้ง ยุงก้นปล่องจะออกหากินเวลากลางคืน ส่วนยุงลายชอบออก
หากินกลางวันอายุขัยของยุงตัวเมียจะยืนยาวกว่าตัวผู้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการถ่ายทอด
โรคต่าง ๆ มาสู่คนการเป็นพาหะนำโรคของยุงเกิดจากการที่ยุงดูดเลือดที่มีเชื้อโรค
และสำรอกน้ำลายที่มีเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดให้กับคนที่ถูกดูดเลือดทำให้เกิดโรคได้
  โรคติดต่อที่เกิดจากยุง
  ยุงเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มีความสัมพันธ์ต่อการดำรงชีวิตของคนมากเพราะเป็น
สาเหตทำให้เกิดความรำคาญจากการที่ยุงมากัดกินเลือด และทำให้เกิดอาการแพ้
เป็นตุ่มผื่นคัน รวมทั้งอาจเป็นพาหะนำโรคติดต่อร้ายแรงซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ 
โรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะนำโรค ได้แก่
  1. โรคมาลาเรียหรือโรคไข้จับสั่น มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค การเกิดโรคนี้
เริ่มจากการที่ยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีปรสิตโปรโตรชัวของเชื้อมาลาเรีย ระยะติดต่อ
อยู่ในน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดและดูดเลือดคน มักจะปล่อยเชื้อมาลาเรียนี้เข้าสู่กระแส
เลือดของคนที่ถูกยุงกัดเชื้อมาลาเรียจะเคลื่อนไปที่ตับเพื่อแบ่งเซลล์ประมาณ5–14 วัน
แล้วเติบโตเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อกินฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงเป็นอาหาร
  อาการของโรคมาลาเรีย เมื่อร่างกายได้รับเชื้อตั้งแต่ 1- 3 สัปดาห์ เชื้อจะเข้าสู่
เม็ดเลือดแดงและทำลายเซลล์ของเม็ดเลือดแดงเพราะใช้เป็นอาหาร โดยทั่วไปผู้ป่วย
เป็นมาลาเรีย จะมีอาการคล้ายไข้หวัด มีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มีอาการ
หนาวสั่นเป็นช่วง ๆ นานประมาณ 15 นาที – 1 ชั่วโมงต่อครั้ง ซึ่งเกิดจากการที่
เม็ดเลือดแดงแตก มีไข้สูงตัวร้อน คลื่นไส้อาเจียน และมี เหงื่อออกตามผิวหนัง
โรคมาลาเรียบางชนิดถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เสียชีวิตได้
  2. โรคไข้เลือดออก มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรคซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง
การเกิดโรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสของโรคเจริญเติบโตอยู่ในกระเพาะ
อาหารและต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงไปกัดคนจะปล่อยเชื้อไวรัสเข้าไปในกระแสเลือด
เพื่อฟักตัว
  โรคไข้เลือดออกมักเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมี
อาการไข้สูง หน้าและตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว แขนและขา เบื่ออาหาร
อ่อนเพลีย เซื่องซึม ท้องผูก อาเจียน เจ็บคอ ปวดท้อง ตับโต ถ้ามีอาการไข้นาน
ประมาณ 2 – 3 วัน จะเริ่มมีจุดแดง ๆ  คล้ายตุ่มหรือรอยจ้ำเลือดตามใต้ผิวหนัง
บริเวณแขนขา รักแร้ หน้า และลำตัว ผู้มีอาการเจ็บป่วยรุนแรง มี
อาการเสียเลือดจากการที่มีเลือดออกทางระบบทางเดินอาหาร ทำให้ความดันเลือดต่ำ
กระสับกระส่าย เหงื่อออก ชีพจรเต้นเบาและเร็ว จนหมดสติ และเสียชีวิตได้
  3. โรคไข้สมองอักเสบ มียุงรำคาญและยุงเสือ เป็นพาหะนำโรคซึ่งเป็นเชื้อ
ไวรัสชนิดหนึ่ง  การเกิดโรคไข้สมองอักเสบมีสาเหตุจากการที่ยุงรำคาญดูดเลือดสัตว์
ที่มีเชื้อไวรัสดังกล่าวเข้าร่างกายและปล่อยเชื้อไข้สมองอักเสบเข้าสู่ทางกระแสเลือดและ
แพร่กระจายไปยังสมองหรือระบบประสาทส่วนกลางของคน
  โรคไข้สมองอักเสบส่วนใหญ่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ผู้ป่วยจะมีอาการไข้
สูงปานกลาง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เซื่องซึม คอและหลังแข็งกล้ามเนื้อ
ขาตึงประสาทสัมผัสผิดปกติ ตาพร่ามัว มีอาการเพ้อ ชักเกร็งอาจเป็นอัมพาตและ
ทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและกลับหายเป็นปกติ อาจมีความพิการ
ทางสมอง
  4. โรคเท้าช้าง มียุงรำคาญ ยุงก้นปล่อง ยุงลาย และยุงเสือ เป็นพาหะนำโรคที่
เกิดจากพยาธิตัวกลมที่มีตัวแก่ของพยาธิฟิลาเรียอาศัยในหลอดน้ำเหลือง และมีตัวอ่อน
อยู่ในกระแสเลือดซึ่งเติบโตในตัวยุง เมื่อยุงกัดคน ตัวอ่อนของพยาธิจะเติบโตเป็นตัว
แก่อยู่ในหลอดน้ำเหลืองของคน
  ผู้ป่วยเป็นโรคเท้าช้างจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เซื่องซึม
เหงื่อ ออก เป็นไข้เฉียบพลัน มีอาการไข้สูง 1 – 2 วัน แล้วลดลง บางรายมีไข้ต่ำ
เป็น ๆ หาย ๆต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาจะบวมแดง แล้วค่อย ๆ มีผิวหนังหนาและขรุขระ
ขึ้นเรื่อย ๆ จะมีขาโตกว่าปกติ จึงเรียกว่าโรคเท้าช้าง ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมี
อัณฑะโตด้วย
  การกำจัดและควบคุมป้องกันยุง
  การเกิดโรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรคต่าง ๆ  ดังกล่าวทำให้ต้องมีการกำจัดและ
ควบคุมป้องกันยุงเพื่อระงับเหตุของการเกิดโรค ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
  1. การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ เป็นวิธีการป้องกันไม่ให้ยุงวางไข่ได้โดยปรับปรุง
สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการวางไข่ของยุง เช่น
  1.1 การทำท่อระบายน้ำ โดยการขุดทำเป็นท่อเป็นร่องเพื่อระบายน้ำ ซึ่งการวางท่อ
หรือขุดรางระบายน้ำต้องมีความลาดเอียงของคูในแนวนอนเพื่อให้น้ำไหลสะอาด
คูที่สร้างขึ้นต้องสะอาดอยู่เสมอ ก้นคูควรแคบลงเพื่อไม่ให้น้ำขัง
  1.2 การถมที่ ถ้าเป็นพื้นที่ไม่สามารถระบายน้ำได้ควรถมที่ด้วยดิน ขี้เถ้าแกลบวัสดุ
อื่น ๆ ที่ไม่บูดเน่าเพื่อทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ถ้ามีภาชนะที่ใช้ขังน้ำควรเปลี่ยน
น้ำเป็นประจำเพื่อไม่ให้ลูกน้ำเติบโตได้
  1.3 ให้ความรู้ด้านสาธารณสุขแก่ประชาชน โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกำจัดแหล่ง
เพาะพันธุ์ยุงเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น ไม่ทิ้งภาชนะ กระป๋อง หรือยางรถยนต์ไว้ใต้
ถุนบ้านหมั่นตรวจโอ่ง ตุ่มน้ำ แจกัน น้ำในภาชนะรองขาตู้ใส่อาหาร ไม่ให้มีลูกน้ำรวม
ทั้งรักษาบริเวณบ้านอย่าให้มีหญ้าขึ้นรกรุงรังเป็นที่อาศัยของยุง
  1.4 ปิดฝาภาชนะที่เก็บน้ำให้มิดชิด เพื่อไม่ให้ยุงเข้าไปวางไข่ได้
  2. การควบคุมลูกน้ำ เป็นการตัดวงจรชีวิตของยุงก่อนเติบโตเป็นยุงซึ่งมีวิธีการ
ต่าง ๆ คือ
  2.1 ใช้น้ำมัน เช่น น้ำมันก๊าด ดีเซล หรือน้ำมันอื่น ๆ เพื่อให้น้ำมันแผ่กระจายบน
พื้นผิวน้ำให้ทั่ว โดยพ่นในแหล่งน้ำใหญ่ ๆ บริเวณริมฝั่งหรือที่มีพืชน้ำเท่านั้น
  2.2 ใช้สารหนูเขียว ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีทองแดง สารหนู  และกรดอะชีติก
ผสมกับปูนขาว แป้งฝุ่น ใช้พ่นให้ฟุ้งกระจายบนผิวน้ำในขนาด 300  มิลลิกรัมต่อ
ตารางเมตร
  2.3 ยาฆ่าลูกน้ำอื่น ๆ เช่น
  ดีดีที    ผสมน้ำมันดีเซล ในอัตราส่วน 50 กรัมต่อน้ำมัน 1 แกลลอนต่อ 1 ไร่
  ดีลดริน  ในอัตราส่วน 20 กรัม ผสมน้ำหรือน้ำมันดีเซล พ่นบนผิวน้ำได้ 1 ไร่
  อเบต    เป็นทรายอเบตใส่น้ำ 1 ส่วนต่อน้ำล้านส่วน ให้ฤทธิ์นาน 3 เดือน
สามารถฆ่าลูกน้ำได้ทุกชนิด และมีพิษต่อคนหรือสัตว์น้ำน้อยมาก
  2.4 การเลี้ยงปลากินลูกน้ำ เช่น ปลากัด ปลาหางนกยูง และปลาเงินปลาทอง เพื่อ
กินลูกน้ำและเลี้ยงเพื่อความสวยงาม
  2.5 การเลี้ยงยุงยักษ์หรือยุงช้าง เป็นยุงที่ไม่กัดคนแต่กินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้
เป็นอาหาร ลูกน้ำยุงยักษ์จะกินลูกน้ำของยุงอื่นเป็นอาหาร ซึ่งเป็นวิธีควบคุมและทำลาย
ลูกน้ำของยุงชนิดที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม
  3. การควบคุมป้องกันและกำจัดยุง เพื่อตัดวงจรการแพร่เชื้อโรคของยุง ซึ่งมี
กรรมวิธีต่าง ๆ เช่น
  3.1 การตบ เมื่อยุงมากัดแต่เป็นวิธีที่ได้ผลในการกำจัดน้อยที่สุดเพราะเราไม่
สามารถไล่ตบยุงทุกตัว
  3.2 ทำให้ไข่ยุงฝ่อ ด้วยการเลี้ยงยุงตัวผู้ในห้องปฏิบัติการ และใช้สารเคมี ชื่อเค
โมสเตอริแล้นท์ หรือฉายรังสี เพื่อให้ยุงตัวผู้เป็นหมัน (เชื้ออสุจิฝ่อ) แล้วปล่อยไปผสม
พันธุ์กับยุงตัวเมียในธรรมชาติ ไข่ที่ได้รับเชื้ออสุจิที่เป็นหมันจะฝ่อลง
  3.3 ใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่น เพื่อฆ่ายุงไม่ให้มารบกวน มีวิธีการที่หลากหลาย เช่น
  การฉีดหมอกควัน (Swing Fog) เหมาะสำหรับฉีกในบริเวณกว้างเพื่อป้องกัน
และกำจัดยุงในโครงการป้องกันและกำจัดไข้เลือดออกของราชการ
  การฉีดสารฆ่าแมลงออกฤทธิ์ตกค้าง (Residual  Spray)  เป็นการฉีดสารที่
แมลงออกฤทธิ์ตกค้างไว้ตามฝาผนังในบริเวณต่าง ๆ เมื่อยุงมาเกาะพักจะได้รับสารพิษ
เข้าสู่ร่างกายและทำให้ตายได้ นิยมใช้กำจัดยุงก้นปล่องซึ่งมีนิสัยชอบเกาะพักหลัง
ดูดเลือดคน จึงเป็นวิธีการที่ใช้ในโครงการกวาดล้างโรคมาลาเรีย
  3.4 ใช้ตะแกรงหรือมุ้งลวด ติดตามประตู หน้าต่าง  หรือช่องลมต่าง ๆ ในบ้านเพื่อ
ป้องกันไม่ให้ยุงเข้าสู่บริเวณที่พักอาศัยได้
2.
แมลงวัน  เป็นพาหะนำโรคมาสู่คน  เป็นสัตว์ที่มีสองตาเป็นประเภทตาผสม ตั้งอยู่
หน้าสุดของส่วนหัว สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้รอบตัว มีปีกสองปีกบางใส ปากยืดหด
ได้ ขามีสีน้ำตาลปนดำมี 3 คู่ ลำตัวสีเทายาวประมาณ 6 – 7 มิลลิเมตร มีขนเล็ก ๆ
ขึ้นอยทั่วไป ลำตัวมีทั้งหมดหกปล้อง ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย แมลงวันชอบ
กินอาหารบนสิ่งที่เน่าเปื่อย อาหารสดคาว เศษอาหาร รวมทั้งมูลสัตว์หรือคนซึ่งอาจ
มีเชื้อโรคต่าง ๆ แมลงวันที่แพร่โรคสู่คนในประเทศไทยมี  4  ชนิด คือ แมลงวันบ้าน
แมลงวันหัวเขียว แมลงวันลายเสือ และแมลงวันดูดเลือด
  วงจรชีวิตของแมลงวัน
  การเจริญเติบโตของแมลงวันเริ่มจากการที่แมลงวันตัวเมียเริ่มวางไข่เมื่อมันมี
อายุได้ประมาณ 4 – 20 วัน (นับตั้งแต่วันที่มันเป็นตัวเต็มวัย) โดยจะวางไข่บน
อินทรียวัตถุที่ชื้น อบอุ่น เช่น มูลสัตว์  อุจจาระคน เศษอาหารหรือกองขยะ และซากสัตว์
ซึ่งจะวางไข่แมลงวันจะออกไข่ครั้งละประมาณ 75 – 150 ฟอง โดยเฉลี่ยตลอดชีวิต
ของมันจะออกไข่ได้ 5 – 6 ครั้ง มีช่วงห่างของการออกไข่แต่ละครั้งประมาณ 3 – 4 วัน
วงจรของแมลงวันแบ่งออกได้ 4 ระยะ คือ
  1. ระยะเป็นไข่ ไข่แมลงวันมีสีขาวนวล รูปร่างยาวรีประมาณ 1 มิลลิเมตร ในหน้า
ร้อนไข่จะฟักตัวกลายเป็นหนอนในเวลา 8 – 24 ชั่วโมง
  2. ระยะตัวอ่อน หรือตัวหนอน มีรูปร่างยาวรีประมาณ 10 – 12 มิลลิเมตร ตัวอ่อน
จะมีการลอกคราบ 3 ครั้งก่อนจะเป็นดักแด้
  3. ระยะตัวโม่งหรือดักแด้ ลำตัวจะหดสั้นกว่าตัวหนอน สีน้ำตาล มีเกราะหุ้มไม่กิน
อาหาร ไม่เคลื่อนไหว มักพบตามขอบส่วนที่แห้งของวัตถุที่มันอาศัยอยู่
  4. ระยะตัวเต็มวัย เป็นแมลงวันที่ออกจากตัวโม่ง เริ่มไต่ไปมาประมาณ 1 – 15
ชั่วโมงจนปีกของมันคลี่ออก ตัวแห้งและแข็งแล้วจึงเริ่มผสมพันธุ์
วงจรชีวิตของแมลงวัน
       
  โรคติดต่อที่เกิดจากแมลงวัน
  จากการที่แมลงวันมีขนตามตัวขา ชอบกินของสกปรก จึงเป็นตัวนำเชื้อโรค
เป็นอย่างดี เมื่อมันมาเกาะกินอาหารจนอิ่ม มันมักจะถูเสียดสีขาคู่หน้า ทำให้เชื้อ
โรคที่ติดมากับขนขาร่วงหล่นบนอาหาร จึงเป็นการปล่อยเชื้อโรคในอาหารที่เรากิน
เข้าไปทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เช่น
  1. โรคไข้รากสาดน้อยหรือไทฟอยด์ เป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อซัลโมเนลลา ไทฟี (Salmonella  Typhi)ที่อยู่ปะปน
ในอุจจาระเมื่อแมลงวันไปตอมอุจจาระของผู้ป่วยแล้วมาเกาะอาหาร จึงเป็นพาหะนำ
เชื้อโรคนี้แพร่เข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยเป็นโรคไข้รากสาดน้อยจะมีอาการไข้ ปวดหรือ
เวียนศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามร่างกายเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ริมฝีปากแห้ง
อาจท้องเดินหรือท้องผูกได้ ถ้ามีไข้สูงผู้ป่วยจะซึม เพ้อชีพจรเต้นช้า ลิ้นเป็น ฝ้าหนา
ซึ่งถ้ามีโรคแทรกซ้อน เช่น เลือดออกในลำไส้ และลำไส้ทะลุ อุจจาระมีสีดำหรือถ่าย
เป็นเลือดสด ๆ เพราะมีการอักเสบหรือเป็นแผลที่ต่อมน้ำเหลืองในลำไส้ทำให้ช็อค
และหมดสติหรือเสียชีวิตได้
  2. โรคบิด เป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากเชื้อโรคบิดอะมีบิก
(Amebic Dysentery) ซึ่งเป็นบิดชนิดมีตัว หรือ เชื้อโรคบิดแบคซีลลารี่ (Bacillary-
Dysentery) ที่เกิด จากเชื้อแบคทีเรียมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เชื้อโรคบิดทั้งสอง
ชนิดจะปนอยู่ในอุจจาระ เมื่อแมลงวันไปตอมอุจจาระที่มีเชื้อโรคบิดและมาเกาะ
อาหารหรือน้ำดื่มน้ำใช้ที่นำมาอุโภคบริโภค จึงเป็นการรับเชื้อบิดเข้าสู่ร่างกาย
  ผู้ป่วยเป็นโรคบิดจะมีอาการอึดอัดในท้อง ท้องร่วงสลับท้องผูก  ถ่ายอุจจาระบ่อย
ประมาณ 5 - 10 ครั้งต่อวัน เป็นการถ่ายกะปริบกระปรอย ปวดถ่วงที่ท้องน้อย อุจจาระ
เหลวสีน้ำตาล อาจมีมูกเลือดหรือหนองปน กลิ่นเหม็นคล้ายหัวกุ้งเน่า อาจมีไข้ต่ำ
ถ้าปล่อยเรื้อรังเชื้อโรคจะลุกลามเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดเป็นฝีที่ตับ ปอด สมอง 
ลำไส้ทะลุหรือข้ออักเสบได้
  3. อหิวาตกโรค เป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารอีกประเภทหนึ่งที่เกิดจาก
เชื้อแบคทีเรียชื่อ วิปริโอ คอเลอรี (Vevrio Cholerae) ซึ่งติดต่อได้จากการดื่มน้ำและ
กินอาหารไม่สะอาดและมีแมลงวันมาตอมโดยนำเชื้อโรคติดมาด้วย
  ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเดิน ลักษณะอุจจาระในระยะแรกมีเศษอาหาร ต่อมาจึงถ่าย
เป็นน้ำคล้ายน้ำซาวข้าวกลิ่นเหม็นคาวจัด ร่างกายอ่อนเพลีย ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะ
เกิดอาการช็อค มีความรู้สึกกระหายน้ำรุนแรง เป็นตะคริว เสียงแห้ง แก้มตอบ มือและ
นิ้วเหี่ยวย่น ตัวเย็น เนื่องจากเสียเกลือแร่ไปกับอุจจาระ ชีพจรและความดันโลหิต
ต่ำจนวัดไม่ได้และเสียชีวิตในที่สุด
  นอกจากโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารแล้ว แมลงวันยังทำให้เกิดตัว
หนอนในแผลที่เป็นแผลพุพอง แผลไฟไหม้ เพราะเป็นหนอนที่เติบโตจากไข่ซึ่ง
แมลงวันไปวางไข่ในแผลสกปรกนั้น
  การกำจัดและควบคุมป้องกันแมลงวัน
  จากการที่แมลงวันเป็นตัวแพร่เชื้อโรคต่าง ๆ มาสู่คน ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้ามี
อาการป่วยรุนแรง หรือเรื้อรัง ดังนั้น การกำจัดและควบคุมป้องกันแมลงวัน
จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสุขภาพที่ดี โดยมีรายละเอียด  ดังนี้
1.
การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน เพื่อควบคุมไม่ให้แมลงวันแพร่ขยายพันธุ์ได้
ครบตามวงจร ซึ่งทำให้จำนวนแมลงวันน้อยลงด้วยการปรับปรุงการสุขาภิบาล ดังนี้
  1.1 สร้างส้วมที่ถูกสุขลักษณะและดูแลรักษาห้องส้วมให้สะอาดอยู่เสมอ ถ้าเป็น
ส้วมหลุมควรมีฝาปิดช่องถ่ายทุกครั้งหลังเลิกใช้ส้วม ท่อระบายอากาศของส้วมต้อง
มีตะแกรงปิดเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงวันบินลงในหลุมส้วมได้
  1.2 เก็บกักขยะมูลฝอยหรือเศษอาหารให้มิดชิด โดยเก็บไว้ในถุงพลาสติกที่บรรจุ
ในถังโลหะหรือพลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิดและไม่รั่วซึม ควรกำจัดขยะหรือเศษอาหาร
ด้วยการนำไปฝัง เผา ถมปรับที่หรือนำไปต้มเลี้ยงสัตว์
  1.3 เก็บและกำจัดมูลสัตว์  ด้วยการใช้บ่อผลิตก๊าซชีวภาพ เพื่อหมักให้เกิดก๊าซ
มีเทนจากมูลสัตว์ ซึ่งสามารถใช้เป็นประโยชน์ในการหุงต้ม ส่วนกากที่เหลือใช้ทำปุ๋ยได้
สำหรับมูลสัตว์ที่มีปริมาณไม่มากควรเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ไม่รั่วซึม และนำ
ไปกำจัดด้วยการตากแห้งให้ทั่วถึงเพราะแดดและความร้อนจะฆ่าหนอนแมลงวันได้
  1.4 จัดให้มีการบำบัดและกำจัดน้ำเสียให้เหมาะสม เป็นสารสังเคราะห์ที่มี
โครงสร้างเหมือนจูวินายล์ ฮอร์โมนใช้ในการควบคุมการเจริญเติบโตของแมลงวัน
ในระยะที่หนอนกำลังจะเติบโตเป็นตัวโม่ง ทำให้ไม่สามารถเจริญเป็นตัวแก่ได้ หรือถ้า
รอดชีวิตเป็นตัวแก่ก็จะไม่เติบโตเต็มที่ ทำให้จำนวนไข่ลดลง มีอายุขัยสั้นลง
  1.5 การใช้วิธีชีวภาพ ด้วยการเลี้ยงสัตว์ที่กินหนอน เช่น นก ไก่ หรือปลา เพื่อตัด
วงจรชีวิติของแมลงวัน
2.
การทำลายตัวแก่ของแมลงวัน เพื่อลดจำนวนแมลงวันลงซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธี
ต่าง ๆ ดังนี้
  2.1 ใช้สารเคมีทำลาย อาจใช้ดีดีทีพ่นตามบ้านเรือนหรือสถานที่ที่แมลงวันชอบ
เกาะพักหรือกองขยะมูลฝอย แต่ห้ามพ่นในอาหารหรือน้ำดื่ม
  2.2 การใช้เหยื่อพิษ โดยใส่สารมีพิษผสมลงในเหยื่อที่แมลงวันชอบ เช่น น้ำตาล
กากน้ำตาล ซังข้าวโพดบด นำใส่จานล่อให้แมลงวันมากินอาหารที่มีพิษ แมลงวันก็
จะตาย แต่ควรระมัดระวังมิให้เด็กหรือสัตว์เลี้ยงสัมผัสกับเหยื่อพิษและปกปิดอาหารให้
มิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงวันที่ตอมยาไปตอมอาหารได้ เพราะจะเป็นอันตรายถึง
ชีวิต
  2.3 การใช้กระดาษหรือเชือกชุบยาฆ่าแมลง ด้วยการตัดเชือกไปชุบยาฆ่าแมลง
เช่น พาราไธออนหรือไดอาซินอน แขวนไว้บนเพดานสูง ๆ ในที่ที่มีแมลงวันชุกชุม
เพื่อให้แมลงวันเกาะเชือกในเวลากลางคืน
  2.4 การใช้รังสีหรือสารเคมีทำให้แมลงวันเป็นหมัน ให้ฉีกพ่นที่ตัวแมลงวันสาร
เคมีเหล่านี้จะไปทำลายระบบสืบพันธุ์ทำให้แมลงวันเป็นหมัน ไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้
  2.5 ใช้กับดักหรือกรงดักแมลงวัน วิธีใช้คือ นำกรงดักแมลงวันไปตั้งในที่ที่มี
แมลงวันชุกชุม นำเหยื่อเช่น เศษปลา เศษอาหารใส่ถาด เพื่อล่อแมลงวันมาตอม
โดยปกติแมลงวันจะบินขึ้นเพื่อหาแสงสว่าง จึงเป็นการบินเข้าไปใสส่วนกรงดัก ไม่
สามารถบินลงมาได้ การวางกรงดักให้ใช้ตอนกลางวันเพราะเป็นช่วงเวลาหากินของ
แมลงวัน
  2.6 ใช้กาวจับแมลงวันซึ่งเป็นแถบกว้างประมาณ 1 นิ้วดึงให้ยาวประมาณ 1 เมตร
นำไปแขวนตามหน้าต่างหรือเพดานที่มีแมลงวันบินผ่าน เมื่อแมลงวันเกาะติดจำนวน
มากก็ฉีกส่วนนั้นทิ้งแล้วดึงแถบกาวใหม่มาแขวน
  2.7 ใช้ไม้ตีแมลงวัน คอยไล่ตีแมลงวันซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะกับบ้านเรือนหรือบริเวณ
ที่มีแมลงวันไม่มาก และไม่เกิดอันตรายใด ๆ ถ้าตีแมลงวันตัวเมียตาย 1 ตัว เป็นการ
ยับยั้งไม่ให้แมลงวันเกิดอย่างต่ำ 300  ตัว หรืออาจถึง 750  ตัว
  2.8 ใช้เชือกแขวนห้อยจากเพดาน เพื่อให้แมลงวันมาเกาะแล้วใช้ถุงพลาสติก
ครอบจับแมลงวัน อาจใช้กาวจับไปทาที่เชือกช่วยจับแมลงวัน
  2.9 ใช้มุ้งลวดหรือตาข่ายกรุ บริเวณห้องครัว ห้องอาหาร หรือบ้านพักอาศัย เพื่อ
ป้องกันไม่ให้แมลงวันเข้ามาภายในห้อง
       
       
       
       
       

 

9.1
  การควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค
9.2
  ความสำคัญของการกำจัดและ
  ควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค
9.3
  โรคที่เกิดจากแมลงและสัตว์นำโรค
9.4
  แมลงและสัตว์นำโรคที่ทำให้เกิดโรค
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
 
         
หน้าถัดไป