การตัดเกรด คือ การประเมินผลการเรียนของผู้เรียน ที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเรียน มาพิจารณา ให้เกรดแต่ละคน ดังต่อไปนี้ 1. การตัดเกรดโดยยึดหลักร้อยละของคะแนนเต็ม การตัดเกรดโดยยึดร้อยละของคะแนนเต็ม ทำได้โดยนำคะแนนดิบเทียบเป็นร้อยละของคะแนนเต็ม ที่เข้าใจกันทั่วไป ว่าคิดคะแนนเป็นเปอร์เซ็นต์นั่นเอง จากนั้นนำร้อยละของคะแนนเต็มที่ได้ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด เช่นกำหนดโดย การเทียบกับเกณฑ์ไว้ ดังนี้ ร้อยละ 90 – 100 ให้ A ถือว่าเป็นพวกดีเลิศ (Outstanding) ร้อยละ 75 – 89 ให้ B ถือว่าเป็นพวกดีมาก (Very Good) ร้อยละ 60 – 74 ให้ C ถือว่าเป็นพวกพอใช้ (Satisfactory) ร้อยละ 45 – 59 ให้ D ถือว่าเป็นพวกที่อ่อนมาก แต่พอให้ผ่านไปได้ (Very Weak) ร้อยละ 0 – 44 ให้ E ถือว่าเป็นพวกที่ไม่ควรให้ผ่าน (Unsatisfactory) ตัวเลขร้อยละที่กำหนดให้นี้ เป็นการกำหนดแบบอัตนัยค่อนข้างมาก คุณธรรมของอาจารย์ที่พิจารณาว่าจะกำหนด อย่างไร ซึ่งก็ควรพิจารณาถึงความยากง่ายของข้อสอบที่ใช้ด้วย ถ้าข้อสอบยากมากยิ่งกำหนดร้อยละของคะแนนเต็มให้สูง ก็ยิ่งทำให้นักเรียนตกมากขึ้น การตัดเกรดโดยยึดร้อยละของคะแนนเต็มไม่มีอะไรแตกต่างกว่าการให้เป็นเปอร์เซ็นต์เลย แต่ดีกว่าตรงที่แบ่งกลุ่ม นักเรียนน้อยลงแทนที่จะเป็น 100 กลุ่มเหมือนการให้เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 2. การตัดเกรดโดยยึดอันดับที่ การตัดเกรดโดยยึดอันดับที่นี้ เมื่อให้เป็นคะแนนดิบมาแล้วก็นำคะแนนนั้นมาเรียงตามลำดับคะแนนจากมากไปหาน้อย คนได้มากที่สุดให้เป็นอันดับที่ 1 ส่วนคนที่ได้คะแนนรองก็ให้เป็นอันดับที่รอง ๆ ลงไปเรื่อย ๆ จากนั้นเทียบอันดับที่เป็นร้อยละ นำไปเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดให้ไว้ดังนี้ อันดับที่ (100 คน) 1 – 10 ให้ A 11 – 30 ให้ B 31 – 70 ให้ C 71 – 90 ให้ D 91 – 100 ให้ E การตัดเกรดโดยยึดค่าอันดับที่กับการยึดร้อยละของคะแนนเต็ม ใช้ได้ดีกับการตัดสินแบบอิงกลุ่ม โดยเฉพาะการวัด สัมฤทธิผล (Achievement) การเรียนรู้ของนักเรียนทั้งหลาย 3. การตัดเกรดโดยยึดค่าสถิติ การตัดเกรดโดยยึดค่าสถิติ เป็นการให้คะแนนแบบตัดสินอิงกลุ่ม อาจแบ่งวิธีการตัดเกรดโดยยึดค่าสถิติออกอย่าง กว้าง ๆ ได้ 2 วิธี คือ 3.1 การตัดเกรดจากคะแนนมาตรฐาน วิธีนี้เมื่อได้คะแนนดิบมาแล้วจะต้องแปลงให้เป็นคะแนนมาตรฐานรูปใด รูปหนึ่งก่อน อาจจะเป็น Z – Score และ T – Score หรือ Normalized T – Score อย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นนำคะแนน มาตรฐานมาตัดเป็น A B C D และ E ตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1) ใช้วิจารณญาณอย่างมีคุณธรรมตัดสินใจกำหนดจำนวนเกรดที่จะให้ว่า ผลการศึกษาครั้งนี้มีระดับผลสัมฤทธิ์ หรือความสามารถของเด็กอยู่ในระดับเกรดใดบ้างควรมี A หรือ E หรือไม่ 2) เมื่อกำหนดจำนวนเกรดได้แล้วให้หาช่วง (Range) หรือพิสัยของ T – Score ที่จะนำมาใช้กำหนดเกรดว่ามี ช่วงกว้างเท่าไรโดยใช้ T สูงสุด – T ต่ำสุด 3) หาความกว้างของแต่ละช่วงเกรด (Range ของเกรด) เพื่อกำหนดว่าแต่ละเกรดที่จะให้นั้นจะมีช่วงกว้างเพียง ใดหาได้โดยการนำจำนวนเกรดที่กำหนดไว้ (ข้อ 1) หารด้วยช่วงคะแนน (ข้อ 2) 4) กำหนดเกรด ซึ่งจะมีลักษณะเป็นไปได้ 2 กรณี คือ - ถ้าจำนวนเกรดที่กำหนดจะให้ (ข้อ 1) เป็นจำนวนคู่ (เช่น 2,4,6,8 เกรด) ให้กำหนดช่วง หรือแบ่งช่วงของ เกรดตั้งแต่คะแนน T – Score เฉลี่ยเป็นต้นไป (เริ่มที่ T = 50 ขึ้นและลงไป) - ถ้าจำนวนเกรดที่กำหนดจะให้(ข้อ 1) เป็นจำนวนคี่ (เช่น 1,3,5,7 เกรด) ให้กำหนดช่วง หรือแบ่งช่วงของ เกรดตั้งแต่ คะแนน T – Score เฉลี่ยเป็นต้นไป (เริ่มที่ T = 50 ขึ้นและ ลงไป) โดยให้เกรดกึ่งกลางคร่อมค่าเฉลี่ย ดังนั้นเกรดที่อยู่กลางจึงมีค่าเท่ากับ ช่วงของเกรด แล้ว นำไป ± T-Score เฉลี่ย แล้วจึงหาช่วงต่อไปทั้งขึ้นและลง 3.2 การตัดเกรดจากคะแนนดิบ วิธีนี้ใช้คะแนนดิบเป็นเกรดต่าง ๆ เลย ซึ่งสามารถตัดเกรดได้โดยใช้สถิติต่างกัน ดังนั้น 3.2.1 การตัดเกรดโดยใช้ค่าฐานนิยมกับพิสัย วิธีนี้ เมื่อได้คะแนนดิบมาแล้วก็หาค่าฐานนิยม คือ คะแนนที่มีนักเรียนได้ซ้ำกันมากที่สุด และหาค่าพิสัย คือคะแนนที่นักเรียนได้สูงสุดลบด้วยคะแนนที่นักเรียนได้ต่ำสุด เอาค่าพิสัยที่ได้หารด้วยจำนวนเกรดที่ต้องการให้ เช่น ต้องการ ให้ A B C D และ E เป็น 5 เกรด ก็เอา 5 หาร แต่ถ้าต้องการให้เฉพาะ A B C เพียง 3 เกรด ก็เอา 3 หาร แล้วเอาค่าฐาน นิยมตั้งบวกลบ (- +) กับค่าพิสัยจะได้เกรดต่าง ๆ ตามต้องการ ตัวอย่าง นักเรียน 30 คน สอบวิชาคณิตศาสตร์ 1. ค่าฐานนิยม = 16 2. ค่าพิสัย = 20 – 11 = 9 3. ต้องการตัด 5 เกรด = 9 / 5 = 1.8 2 4. ตัดเกรดได้ดังนี้ A = คะแนน 20 B = คะแนน 18 – 19 C = คะแนน 14 - 17 D = คะแนน 12- 13 E = คะแนน 11 3.2.2 การตัดเกรดโดยใช้คะแนนเฉลี่ยกับส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การตัดเกรดวิธีนี้ก็อาศัยหลักเช่นเดียวกับวิธีที่กล่าวมาแล้ว เมื่อหาคะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S) ได้แล้ว ก็นำไปบวกลบ (+ -) กันก็จะได้เกรดตามต้องการ ดังนี้ การประเมินผลจำเป็นต้องอาศัยการวัดผลและองค์ประกอบอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เพื่อ นำมาพิจารณาและตัดสิน คุณภาพการวัดผลเป็นแต่เพียงบอกถึงความสามารถหรือคุณลักษณะของนักเรียนแต่ละคนว่ามีมากน้อยเพียงใด แต่การ ประเมินผลจะบอกให้เราทราบว่านักเรียนแต่ละคนนั้นมีการศึกษาที่ดีหรือไม่หรือเขามีความรู้ความสามารถและทักษะ เหมาะสมกับอาชีพที่เขาเลือกเพียงใด เช่นนี้ เป็นต้น การให้เกรดมีลักษณะเป็นการรายงานแบบวัดผล (Measurement) มาก กว่าเป็นแบบประเมินผล (Evaluation) เนื่องจากการประเมินผลเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องกับตัวแปรหลายตัว จึงเป็นการยาก ที่จะให้เกรดมีลักษณะเป็นการรายงานแบบประเมินผลได้ การตัดสินว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพียงใดนั้น ไม่ได้ขึ้น อยู่กับคะแนนผลการทดสอบที่เขาทำได้ในด้านต่าง ๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้การให้เกรดมีความเที่ยงตรงใน การประเมินผล อนึ่ง การที่ถือว่าเกรดเป็นแต่เพียงการวัดผลไม่ใช่การประเมินผลนั้น ก็เพราะว่าการประเมินผลต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ ตัวนักเรียนในด้านต่าง ๆ อีกหลายอย่างดังได้กล่าวแล้วแต่ครูส่วนมากมีความรู้เกี่ยวกับตัวนักเรียนแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นจึง ทำให้ยากต่อการประเมินผลให้มีความถูกต้องทำให้การประเมินผลผิดพลาดได้