|
|
ข้อสอบแบบอิงเกณฑ์เป็นข้อสอบที่สร้างขึ้นตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแต่ละรายวิชาหรือรายบทเรียน
โดยมุ่งเอาผลการสอบของนักเรียนแต่ละคนไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าความยากง่ายของข้อสอบแบบ
อิงเกณฑ์ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมที่จัดให้เรียนรู้หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัด ถ้าพฤติกรรมนั้นยากข้อสอบก็จะยากด้วย ถ้าพฤติกรรม
ง่ายข้อสอบ ก็จะง่ายด้วย ดังนั้น ข้อสอบที่ง่ายหรือยากก็ไม่ถือว่าเป็นข้อสอบที่ไม่ดี ในขณะเดียวกันเมื่อวัดออกมาแล้วก็ไม
่ต้อง
การเปรียบเทียบกันภายในกลุ่มว่าใครเก่ง ใครไม่เก่ง แต่ต้องการทราบว่ารู้หรือไม่ รู้อะไร และใครเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ
ครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือใครยังไม่รอบรู้ หรือมีความรู้ความสามารถยังไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด
การหาค่าความยากและค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบอิงเกณฑ์ มีดังนี้
1. ค่าความยากของข้อสอบอิงเกณฑ์ นื่องจากข้อสอบอิงเกณฑ์มุ่งเอาผลการสอบของนักเรียนแต่ละคนไปเปรียบเทียบ
กับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ดังนั้นจึงมีการนำแบบทดสอบไปทดสอบก่อนและหลังสอน เพื่อดูถึงประสิทธิภาพของการสอน ค่าความยากของข้อสอบอิงเกณฑ์สามารถคำนวณหาได้เช่นเดียวกับการหาค่าความยากของข้อสอบอิงกลุ่ม ึ่งหาค่าความยาก
ของข้อสอบแต่ละข้อได้จากสูตร

เกณฑ์การพิจารณาค่าความยากของข้อสอบอิงเกณฑ์ที่นำไปทดสอบก่อนสอนและหลังสอนมีดังนี้
ตารางแสดง การแปลความหมายของค่าความยากของข้อสอบก่อนสอนและหลังสอน
|
ก่อนสอน |
หลังสอน |
ค่าความยาก (P) |
ความหมาย |
ค่าความยาก (P) |
ความหมาย |
.41 ขึ้นไป
.21 - .40
ต่ำกว่า .21 |
ง่ายเกินไป ควรตัดทิ้ง
พอใช้ได้ แต่ต้องปรับปรุง
ดี เก็บไว้ใช้ |
.80 ขึ้นไป
.70-.79
ต่ำกว่า .70 |
ดี เก็บไว้ใช้
พอใช้ได้ แต่ต้องปรับปรุง
ไม่ดี ควรตัดทิ้ง |
|
2. ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบอิงเกณฑ์ หมายถึง ความสามารถในการจำแนกกลุ่มผู้รอบรู้ (หรือสอบผ่านเกณฑ์) กับกลุ่มผู้ไม่รอบรู้ (หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์) ได้มีการให้ความหมายของผู้รอบรู้และไม่รอบรู้ ดังนี้
ผู้รอบรู้ หมายถึง ผู้ที่สอบได้คะแนนเท่ากับหรือมากกว่าคะแนนจุดตัด (เกณฑ์)
ผู้ไม่รอบรู้ หมายถึง ผู้ที่ได้คะแนนจากการสอบน้อยกว่าคะแนนจุดตัด (เกณฑ์)
ในที่นี้จะเสนอวิธีการหาค่าอำนาจจำแนก 2 วิธี คือการหาค่าอำนาจจำแนกจากผลการสอบสองครั้ง (ก่อนสอนและหลังสอน) และผลจากการสอบครั้งเดียว (หลังสอน) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 การหาค่าอำนาจจำแนกจากผลการสอบสองครั้ง โดยการหาค่าดัชนี เอส (S-Index) หรือเรียกว่า ค่าดัชนีความไวในการสอน (Sensitivity Index) เป็นการวิเคราะห์เพื่อมุ่งดูความรู้ความสามารถของผู้เรียนก่อนและหลังเรียนว่ามีผลแตกต่างกันหรือไม่ ถ้าก่อนเรียนผู้เรียนไม่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้น แต่หลังเรียนผู้เรียนส่วนใหญ่มีความรู้ความสามารถมากกว่าก่อนเรียน แสดงว่าการเรียนการสอนนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อสอบเพื่อหาค่าดัชนีเอส มีดังนี้
1. ทำการสอบก่อนสอน (Pre – test) โดยใช้ข้อสอบที่สร้างขึ้น ซึ่งต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการเรียนการสอนทุกข้อ
2. ทำการสอบหลังสอน (Post – test) โดยใช้ข้อสอบชุดเดิม
3. นำผลการสอบทั้งสองครั้งมาตรวจให้คะแนน เพื่อต้องการนับจำนวนผู้ที่ตอบถูกในแต่ละข้อ
4. นำค่าที่ได้ในขั้นที่ 3 ไปคำนวณหาค่าดัชนีเอส โดยใช้สูตร ดังนี้
กรณีที่เป็นตัวถูก 
เมื่อ S แทน ค่าความไวของข้อสอบ
Rpost แทน จำนวนคนที่ตอบถูกหลังสอน
Rpre แทน จำนวนคนที่ตอบถูกก่อนสอน
T แทน จำนวนคนทั้งหมดที่เข้าสอบ
กรณีที่เป็นตัวลวง

เมื่อ S แทน ค่าความไวของข้อสอบ
Rpre แทน จำนวนคนที่ตอบถูกก่อนสอน
Rpost แทน จำนวนคนที่ตอบถูกหลังสอน
T แทน จำนวนคนทั้งหมดที่เข้าสอบ
5. ค่า S มีค่าตั้งแต่ -1.00 ถึง +1.00
6. การแปลความหมายค่า S กรณีตัวถูกมีเกณฑ์ ดังนี้ |
ค่า S |
การแปลความหมาย |
.80-1.00
.60-.79
.40-.59
.20-.39
.00-.19
ค่า ลบ |
ประสิทธิภาพการเรียนการสอนดีมาก
ประสิทธิภาพการเรียนการสอนดี
ประสิทธิภาพการเรียนการสอนปานกลาง
ประสิทธิภาพการเรียนการสอนค่อนข้างต่ำ
ประสิทธิภาพการเรียนการสอนไม่ดี
ประสิทธิภาพการเรียนการสอนใช้ไม่ได้ |
|
7. ข้อสอบที่ดีกรณีตัวถูกควรมีค่า S ตั้งแต่ .30 ขึ้นไป
8. การพิจารณาค่าดัชนีความไวของตัวลวงให้ถือหลักดัง
8.1 ตัวลวงใดที่ผู้สอบเลือกตอบน้อยหรือไม่เลือกตอบเลยหลังการสอนถือว่าเป็นตัวลวงที่ดี
8.2 ตัวลวงใดที่มีค่า S เป็นบวก แสดงว่าจำนวนคนตอบตัวลวงนั้นหลังสอนมีน้อยกว่าก่อนสอนถือว่าใช้ได้
8.3 ตัวลวงใดที่มีค่า S เป็นลบ เป็นตัวลวงที่ไม่ดีต้องปรับปรุงแก้ไข
2.2 การหาค่าอำนาจจำแนกจากผลการสอบครั้งเดียว (หลังสอน) เป็นวิธีหาค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ
ที่เสนอโดยเบรนแนน (Brennan) ค่าอำนาจจำแนกที่หาโดยวิธีนี้เรียกว่า ดัชนี บี (B-Index หรือ Brennan Index)
ขั้นตอนในการวิเคราะห์หาค่าดัชนี มี มีดังนี้
1. ทำการสอบหลังจากที่สอนจบเรื่องที่จะวัด
2. ตรวจให้คะแนนข้อสอบแต่ละข้อ และรวมคะแนนของทุกข้อ
3. กำหนดคะแนนเกณฑ์หรือจุดตัด เพื่อใช้เป็นหลักในการแบ่งผู้รอบรู้และไม่รอบรู้ สำหรับการแบ่งผู้รอบรู้ และ
ไม่รอบรู้ออกจากกันไม่จำเป็นต้องมีจำนวนเท่ากันทั้งสองกลุ่มกลุ่มผู้รอบรู้อาจมีจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่ากลุ่มผู้
ไม่รอบรู้ก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้สอบหรือสภาพของคะแนนที่ทำได้
4. นับจำนวนผู้รอบรู้ และผู้ไม่รอบรู้
5. ข้อสอบแต่ละข้อนับจำนวนผู้รอบรู้ที่ตอบถูก และนับจำนวนผู้ไม่รอบรู้ที่ตอบถูก
6. คำนวณหาค่าดัชนี บี ซึ่งเป็นค่าอำนาจจำแนกโดยใช้สูตรของเบรนแนน ดังนี้
กรณีตัวถูก

เมื่อ B แทน ค่าดัชนี บี หรือค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ
N1 แทน จำนวนคนในกลุ่มผู้รอบรู้ (หรือสอบได้คะแนนเท่ากับหรือสูงกว่าจุดตัด)
N2 แทน จำนวนคนในกลุ่มผู้ไม่รอบรู้ (หรือสอบได้คะแนนต่ำกว่าจุดตัด)
U แทน จำนวนคนในกลุ่มผู้รอบรู้ (N1) ที่ทำข้อสอบข้อนั้นถูก
L แทน จำนวนคนในกลุ่มผู้ไม่รอบรู้ (N2) ที่ทำข้อสอบข้อนั้นถูก
กรณีตัวลวง

เมื่อ B แทน ค่าดัชนี บี หรือค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ (ตัวลวง)
N1 แทน จำนวนคนในกลุ่มผู้รอบรู้ (หรือสอบได้คะแนนเท่ากับหรือสูงกว่าจุดตัด)
N2 แทน จำนวนคนในกลุ่มผู้ไม่รอบรู้ (หรือสอบได้คะแนนต่ำกว่าจุดตัด)
U แทน จำนวนคนในกลุ่มผู้รอบรู้ (N1) ที่ตอบตัวลวงนั้น
L แทน จำนวนคนในกลุ่มผู้ไม่รอบรู้ (N2) ที่ตอบตัวลวงนั้น
7. ค่าดัชนี บี มีค่าตั้งแต่ –1.00 ถึง +1.00
8. การแปลความหมายค่าดัชนี บี มีเกณฑ์ ดังนี้ |
ค่าดัชนี B |
การแปลความหมาย |
1.00
0.50-0.99
0.20-0.49
0.00-0.19
ต่ำกว่า 0.00 หรือเป็นค่าติดลบ |
บ่งชี้ ผู้รอบรู้ – ไม่รอบรู้ได้ถูกต้องทุกคน
บ่งชี้ ผู้รอบรู้ – ไม่รอบรู้ได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
บ่งชี้ ผู้รอบรู้ – ไม่รอบรู้เป็นบางส่วน
บ่งชี้ ผู้รอบรู้ – ไม่รอบรู้ได้ถูกต้องน้อยมากหรือไม่ถูกเลย
บ่งชี้ ผู้รอบรู้ – ไม่รอบรู้ผิดพลาดหรือตรงกันข้ามกับความ
เป็นจริง |
|
9. ข้อสอบที่เหมาะสมจะนำไปใช้ในกรณีตัวถูก ควรมีค่าดัชนี บี ตั้งแต่ +.20 ขึ้นไป สำหรับ ตัวลวงควรมีค่าดัชนี บี ตั้งแต่ .05 ถึง .50
ตัวอย่าง นำข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ จำนวน 10 ข้อ ที่ใช้วัดจุดประสงค์การเรียนรู้เดียวกันไปสอบนักศึกษาจำนวน 45 คน โดยมีเกณฑ์การตัดสินให้ผ่านถ้าตอบถูก 6 ข้อ หรือได้คะแนน 6คะแนนขึ้นไป นำผลการสอบของนักเรียนทั้งหมดมาแบ่งกลุ่มผู้รอบรู้และไม่รอบรู้ พบว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์หรือรอบรู้ 25 คน และไม่ผ่านเกณฑ์ 20 คน ทำการนับจำนวนผู้ตอบถูกในแต่ละ ข้อของแต่ละกลุ่มและคำนวณค่าดัชนี B ดังนี้ |
|
|