งานวิจัย : การพัฒนาบทเรียนการสอน วิชาการใช้ภาษาไทย

เอกสาร PDF

๑.๑ การเขียนเรียงความ

การเขียนเรียงความ

        เป็นการเขียนที่แสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกและความเข้าใจของเราให้ผู้อ่านทราบ ผู้เขียนต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะเขียน และลำดับความคิดเห็นได้อย่างมีระเบียบ สำนวนชวนอ่าน เนื้อหาสาระที่ง่าย ๆ จะประกอบ ด้วยความรู้ ความคิดที่เสริมทางปัญญา 

การเลือกเรื่องที่จะเขียนเรียงความ 
        ๑. ควรเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นและน่าสนใจ อาจเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เช่น วันเด็ก วันไหว้ครู วันขึ้นปีใหม่ หรือกำลังเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไป เช่น การส่งยานอวกาศไปนอกโลก เป็นต้น
        ๒. เป็นเรื่องใกล้ตัวมาเล่าหรือบรรยายให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพได้ เช่น การจัดสวนดอกไม้ การปลูกผักสวนครัวภายในบ้าน
        ๓. เป็นเรื่องที่ให้อธิบายความพร้อมทั้งให้ข้อคิดเห็นส่วนตัว ในเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจของคนส่วนมาก เช่น ปัญหายาเสพย์ติดเป็นภัยต่อสังคม ความคิดเห็นเหล่านี้ควรมีหลักเกณฑ์  ซึ่งอาจช่วยให้คนส่วนใหญ่หันมาเข้าใจ และช่วยแก้ปัญหาได้

ส่วนประกอบหลักของเรียงความ จะประกอบด้วย

        ๑. คำนำ  เป็นตัวเปิดเรื่อง เพื่อจูงใจให้น่าอ่านไม่ควรยาวเกินไปจะเป็นอย่างไรก็ได้ แต่ต้องเขียนให้เร้าใจผู้อ่าน ให้อยากอ่านต่อไป คำนำมีด้วยกันหลายแบบ

        ๒. เนื้อเรื่อง  เป็นตอนสำคัญที่สุด เป็นใจความของเรื่อง โดยเรียงลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะฉะนั้น เนื้อเรื่องจะต้องมีสาระ มีเหตุผล และควรมีการจัดลำดับอย่างเหมาะสม ยกตัวอย่างประกอบให้เนื้อความชัดเจน ย่อหน้าทุกย่อหน้าจะต้องมีสัมพันธภาพกันอย่างดี

        ๓. สรุป   เป็นส่วนสุดท้ายที่เขียนปิดเรื่อง ลักษณะเป็นการเขียนทิ้งท้ายให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ บทสรุปมีความสำคัญเท่ากับคำนำ เป็นการเขียนฝากความรู้ ความประทับใจให้กับผู้อ่าน การเขียนสรุปมีหลายแบบแต่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง การสรุปเป็นการปิดเรื่อง ผู้อ่านจะรู้สึกว่าจบจริง ๆ

การใช้สำนวนโวหารในการเขียน ในการเขียนเรียงความทั่วไป มักใช้ ๓ โวหาร คือ

        ๑. บรรยายโวหาร คือโวหารที่ในการใช้เล่าเรื่อง หรือการเล่าเรื่องตามที่ได้ประสบพบมา เช่น เขียนบทความ เล่าเรื่อง นิยาย ประวัติบุคคล สถานที่ เขียนตรงไป ตรงมา มุ่งความชัดเจน กล่าวถึงเฉพาะสาระสำคัญเท่านั้นและเป็นการเขียนแสดงความคิดเห็นเชิงวิจารณ์
        ๒. พรรณนาโวหาร คือการเขียนเพื่อให้เกิดความแจ่มแจ้ง ละเอียดลออ และจะต้องใส่ ความรู้สึก ความซาบซึ้งเพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม ใช้ในการพรรณนาความสวยงาม
ของบ้านเมือง สถานที่ บุคคล รวมทั้งพรรณนาความรู้สึกต่าง ๆ
        ๓. เทศนาโวหาร คือสำนวนที่อธิบายให้ประจักษ์ด้วยเหตุผล หรือชี้ให้เห็นคุณประโยชน์ หรือโทษของสิ่งที่กล่าวถึง มีเจตนาให้ผู้อ่านเชื่อฟังหรือคิดคล้อยตาม ต้องการแนะนำสั่งสอน
สำหรับโวหารอีก ๒ ชนิด ถือว่าเป็นโวหารที่ใช้แทรกในการเขียนเรียงความทั่วไปเพื่อให้ ข้อความในเรียงความชัดเจนและเข้าใจง่ายขึ้น ได้แก่ สาธกโวหาร มักใช้ยกตัวอย่างเป็น
ตัวบุคคลหรือเหตุการณ์ประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนอุปมาโวหาร เป็นสำนวน เปรียบเทียบ ซึ่งจะหาถ้อยคำมาอธิบายให้เข้าใจได้ยาก ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรดีไปกว่า
การนำเอาสิ่งที่ผู้อ่านเคยเห็นเคยรู้จักมาเปรียบเทียบ จะช่วยให้เข้าใจได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น


การเขียนบทความ

       บทความ คือ ความเรียงที่เขียนขึ้นโดยมีหลักฐานข้อเท็จจริง และในเนื้อหาจะแทรกข้อเสนอแนะเชิงวิจารณ์หรือสร้างสรรค์เอาไว้ด้วย บทความเป็นงานเขียนที่ปรากฏคู่กับหนังสือพิมพ์ เพราะบทความมักเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์เป็นส่วนใหญ่ นิยมกันในหมู่ผู้อ่านและผู้เขียนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รูปแบบการเขียนคล้ายกับเรียงความมาก แม้เนื้อหาสาระของบทความส่วนใหญ่จะได้จากข่าวสด แต่วิธีเขียนบทความก็ต่างจากวิธีเขียนข่าวเช่นกัน

ส่วนประกอบของบทความ
        ๑. รูปแบบ บทความมีรูปแบบการเขียนที่เหมือนกับเรียงความ คือมีโครงเรื่องประกอบ ด้วย ๓ ส่วน ได้แก่ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป การตั้งชื่อเรื่องอาจจะเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน
        ๒. ความมุ่งหมาย จะเขียนขึ้นเพื่อเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง หรือเหตุการณ์นั้น ๆ
        ๓. เนื้อเรื่อง หัวข้อเรื่องของบทความต้องทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ที่อยู่ในความสนใจของผู้อ่านขณะนั้น หากเลยสัปดาห์หนึ่งหรือมากกว่าอาจล้าสมัยไป
        ๔. วิธีเขียน บทความจะเขียนด้วยท่วงทำนองแบบเรียบ ๆ ไม่โลดโผน

ประเภทของบทความ แบ่งได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ
        ๑. บทความเชิงสาระ (Formal Essay) คือ บทความที่มีสาระเน้นหนักไปในเชิงวิชาการ
โดยผู้เขียนต้องอธิบายความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสำคัญ ไม่ต้องคำนึงถึงการใช้สำนวนโวหาร หรือความเพลิดเพลินของผู้อ่าน ผู้อ่านต้องการความคิดมากกว่าความสนุก
        ๒. บทความเชิงปกิณกะ (Informal Essay) คือ บทความที่ผู้เขียนมุ่งให้ความรู้ ความคิด
กับผู้อ่านบ้างแต่ถือว่าเป็นจุดหมายรอง เพราะผู้อ่านบทความเชิงปกิณกะจะต้องได้ความเพลิดเพลินเป็นเบื้องต้น


วิธีเขียนประกอบด้วย
        ๑. ความนำ เป็นตอนเปิดเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง ต้องเขียนให้เหมาะ เร้าความสนใจผู้อ่านให้มากที่สุด
        ๒. เนื้อเรื่อง เป็นช่วงที่ต้องเขียนให้รับกับความนำ แล้วแสดงความคิด ข้อมูล เหตุผลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างเด่นชัด โดยเรียงลำดับอย่างเหมาะสม
        ๓. คำลงท้าย นับเป็นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นช่วงที่จะประเมินให้รู้ว่าผู้อ่านประทับใจมากน้อยเพียงใด ฉะนั้นนักเขียนบทความที่ดีควรพิถีพิถันคำลงท้ายเป็นพิเศษ

การเขียนย่อความ

        การเขียนย่อความ คือการเก็บใจความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่
(แต่เพียงย่อ) เพื่อให้อ่านได้เข้าใจเรื่องและรวดเร็ว การย่อความจะประกอบไปด้วย
ใจความสำคัญ หมายถึงข้อความที่สำคัญที่สุดในบทเขียน หรือบทพูด
พลความ หมายถึง ข้อความที่สำคัญน้อยกว่าใจความ ทำหน้าที่ขยายใจความให้ชัดเจน
ใจความและพลความ แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และข้อความ
ที่แสดงอารมณ์ หรือความรู้สึก
        - ข้อเท็จจริง เป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งทีทำอะไร หรืออยู่ในสภาพอย่างใด ที่ไหน เมื่อไร มีปริมาณหรือขนาดเท่าใด หรือลักษณะอย่างไร
        - ข้อคิดเห็น เป็นข้อความแสดงความเชื่อหรือแนวคิด หรือความรู้สึกที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
อาจเป็นบุคคล วัตถุ เหตุการณ์ หรือพฤติการณ์ก็ได้
        - ข้อความแสดงอารมณ์หรือความรู้สึก เป็นข้อความที่ทำให้ผู้รับสารได้ทราบว่า ผู้ส่งสาร
มีอารมณ์ หรือความรู้สึกเป็นอย่างไร เช่น ขุ่นเคือง หรือชื่นชม เบิกบาน หรือเศร้าโศก

หลักการย่อความ มีดังนี้
        ๑. อ่านเรื่องที่ย่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน ควรอ่านไม่น้อยกว่า ๒-๓ เที่ยว
        ๒. พิจารณาข้อความใดตอนหนึ่ง ๆ ว่าอะไรเป็นสาระสำคัญที่ผู้เขียนต้องการ
        ๓. นำใจความสำคัญแต่ละตอนออกมาเขียนไว้อย่างย่อ ๆ
        ๔. เรียบเรียงใจความสำคัญนั้นให้ความต่อเนื่องตามลำดับ โดยใช้ถ้อยคำของผู้ย่อเอง
        ๕. การใช้สรรพนาม ใช้เฉพาะบุรุษที่ ๓ เท่านั้น เพราะผู้เขียนย่อความเป็นผู้เก็บใจความจากเรื่องมาเล่าต่อ
        ๖. การเจรจาโต้ตอบของบุคคลให้ย่อรวมกัน ไม่ต้องขึ้นบรรทัดใหม่ และไม่ใช้เครื่องหมายอัญประกาศ
        ๗. กรณีที่เรื่องเดิมใช้คำราชาศัพท์ เมื่อย่อแล้วก็ต้องใช้ราชาศัพท์ โดยเฉพาะที่เป็นส่วนหรือเนื้อความสำคัญ

รูปแบบการย่อความ
        ๑. การย่อเรื่อง เรียงความ หรือนิทาน นิยาย จดหมาย ขึ้นต้นในประโยคให้ใช้รูปประโยค
ว่า ย่อเรื่องอะไร ใครเป็นผู้แต่ง จากหนังสืออะไร หน้าเท่าไร มีใจความว่าอย่างไร
        ๒. การย่อปาฐกถา สุนทรพจน์ โอวาท ประกาศ แจ้งความ คำโฆษณา พระราชดำรัส
เหล่านี้ ขึ้นต้นว่า เรื่องอะไร ของใคร เมื่อไร ที่ไหน ความว่ากระไร ซึ่งเป็นการเก็บใจความสำคัญของเรื่อง
        ๓. การย่อจดหมาย ถ้าเป็นจดหมายฉบับเดียวให้ขึ้นต้นว่า ย่อจดหมาย เรื่องอะไร ของใคร จากใคร ถึงใคร ลงเลขที่เท่าใด ลงวัน เดือน ปีใด ความว่าอย่างไร


๑.๔ การเขียนรายงาน

การเขียนจดหมาย

        จดหมาย คือ การติดต่อสื่อสารที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรตามรูปแบบเฉพาะที่กำหนดไว้
ใช้เขียนติดต่อเมื่ออยู่ไกลกัน หรือไม่สามารถพูดคุยกันได้ จดหมายมีหลายประเภท ดังนี้
        ๑. จดหมายส่วนตัว เป็นจดหมายที่เขียนติดต่อกันในวงศ์ญาติ เพื่อน ครูอาจารย์ ด้วยเรื่องราวต่าง ๆ
        ๒. จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายที่บุคคลเขียนติดต่อกับบุคคลอื่น หรือบริษัทห้างร้านต่าง ๆ เพื่อแจ้งกิจธุระต่าง ๆ
        ๓. จดหมายธุรกิจ เป็นจดหมายที่เขียนติดต่อกันระหว่างบริษัท ห้างร้าน องค์การต่าง ๆ ในเรื่องการงานต่าง ๆ
        ๔. จดหมายราชการหรือหนังสือราชการ (รายละเอียดอยู่ในหน่วยการเรียนที่ ๘)

ก. จดหมายส่วนตัว

        จดหมายส่วนตัว คือจดหมายที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารเป็นคนใกล้ชิด อาจเป็นญาติสนิทหรือมิตรสหาย หรือผู้ที่รู้จักคุ้นเคย ภาษาสำนวนที่ใช้กันในจดหมายส่วนตัวอาจเป็นภาษาพูด หรือภาษาที่ไม่ใช่มาตรฐานก็ได้ คำขึ้นต้นและคำลงท้ายไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ที่ตายตัว เพียงแต่จะต้องระวังการใช้คำให้เหมาะสมกับฐานะของผู้ส่งสารและผู้รับสารเท่านั้น

หลักการเขียนจดหมายส่วนตัว มีดังนี้
        ๑. เขียนสื่อความหมายให้ชัดเจน
        ๒. ระมัดระวังการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับฐานะความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้รับ
        ๓. การใช้ถ้อยคำในจดหมายส่วนตัวไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัว ต้องใช้ดุลพินิจของผู้เขียนเพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
        ๔. จดหมายส่วนตัวโดยทั่วไปใช้เขียนถึงคนที่รู้จักกัน แต่บางครั้งอาจเขียนถึงบุคคลที่ไม่รู้จักกันด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น ถามปัญหา
        ๕. เมื่อได้รับจดหมายจากผู้ใดแล้วควรรีบตอบโดยเร็วที่สุด

ข. จดหมายธุรกิจ
        จดหมายธุรกิจ หมายถึงจดหมายที่มีไปมาระหว่างห้างร้าน บริษัท องค์กรเอกชน หรือบุคคลทั่วไป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อติดต่อสื่อสารเพื่อการธุรกิจต่าง ๆ ให้ประสบความ สำเร็จตามที่ตั้งจุดมุ่งหมายไว้ เช่น การสั่งซื้อของ การโฆษณาสินค้า การทวงหนี้ หรือสอบถาม และ คอยสอบถาม เรื่องราวต่าง ๆ การสมัครงาน เป็นต้น การเขียนจดหมายประเภทนี้ต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการ ระเบียบการเขียนมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน คำขึ้นต้น คำลงท้าย ที่มีการกำหนดไว้อย่างแน่ชัด ข้อความที่ใช้ต้องรัดกุม กระชับ สั้น แต่ได้ใจความ และสามารถสื่อสารกันได้ถูกต้อง

หลักการเขียนจดหมายธุรกิจ มีดังนี้
        ๑. ใช้ภาษามาตรฐาน ถ้อยคำสำนวนสุภาพ กะทัดรัด ตัวสะกด การันต์ และเครื่องหมาย
วรรคตอนต่าง ๆ ต้องถูกต้อง
        ๒. มีความสมบูรณ์ เนื้อความของจดหมายสามารถสื่อสารได้ถูกต้องครบถ้วน ตามความประสงค์ของผู้เขียน
        ๓. มีความชัดเจน ภาษาที่ใช้เข้าใจความหมายได้ง่ายและถูกต้องตรงตามความต้องการ
ของผู้เขียน
        ๔. แสดงความระลึกถึงผู้อ่านเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน (สมพร มันตะสูตร แพ่งพิพัฒน์, ๒๕๔๐ : ๑๐๖)

ลักษณะจดหมายธุรกิจที่ดี ควรมีลักษณะ ดังนี้

        ๑. ใช้กระดาษและซองคุณภาพอย่างดี มีมาตรฐาน
        ๒. วางรูปแบบถูกต้องตามแบบฟอร์มที่กำหนด
        ๓. มีความประณีตในการพิมพ์
        ๔. มีความสะอาดเรียบร้อยเป็นระเบียบ
        ๕. ใช้ภาษาสุภาพ มีความถูกต้อง กะทัดรัด ชัดเจน
        ๖. มีเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการสื่อสาร

 

การเขียนจดหมาย

      จดหมาย คือ การติดต่อสื่อสารที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรตามรูปแบบเฉพาะที่กำหนดไว้
ใช้เขียนติดต่อเมื่ออยู่ไกลกัน หรือไม่สามารถพูดคุยกันได้ จดหมายมีหลายประเภท ดังนี้

        ๑. จดหมายส่วนตัว เป็นจดหมายที่เขียนติดต่อกันในวงศ์ญาติ เพื่อน ครูอาจารย์ ด้วยเรื่องต่าง ๆ
        ๒. จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายที่บุคคลเขียนติดต่อกับบุคคลอื่น หรือบริษัทห้างร้านต่าง ๆ เพื่อแจ้งกิจธุระต่าง ๆ
        ๓. จดหมายธุรกิจ เป็นจดหมายที่เขียนติดต่อกันระหว่างบริษัท ห้างร้าน องค์การต่าง ๆ ในเรื่องการงานต่าง ๆ
        ๔. จดหมายราชการหรือหนังสือราชการ (รายละเอียดอยู่ในหน่วยการเรียนที่ ๘)

ก. จดหมายส่วนตัว

        จดหมายส่วนตัว คือจดหมายที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารเป็นคนใกล้ชิด อาจเป็นญาติสนิทหรือมิตรสหาย หรือผู้ที่รู้จักคุ้นเคย ภาษาสำนวนที่ใช้กันในจดหมายส่วนตัวอาจเป็นภาษาพูด หรือภาษาที่ไม่ใช่มาตรฐานก็ได้ คำขึ้นต้นและคำลงท้ายไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ที่ตายตัว เพียงแต่จะต้องระวังการใช้คำให้เหมาะสมกับฐานะของผู้ส่งสารและผู้รับสารเท่านั้น

หลักการเขียนจดหมายส่วนตัว มีดังนี้
        ๑. เขียนสื่อความหมายให้ชัดเจน
        ๒. ระมัดระวังการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับฐานะความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้รับ
        ๓. การใช้ถ้อยคำในจดหมายส่วนตัวไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัว ต้องใช้ดุลพินิจของผู้เขียนเพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
        ๔. จดหมายส่วนตัวโดยทั่วไปใช้เขียนถึงคนที่รู้จักกัน แต่บางครั้งอาจเขียนถึงบุคคลที่ไม่รู้จักกันด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น ถามปัญหา
        ๕. เมื่อได้รับจดหมายจากผู้ใดแล้วควรรีบตอบโดยเร็วที่สุด

ข. จดหมายธุรกิจ
        จดหมายธุรกิจ หมายถึงจดหมายที่มีไปมาระหว่างห้างร้าน บริษัท องค์กรเอกชน หรือบุคคลทั่วไป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อติดต่อสื่อสารเพื่อการธุรกิจต่าง ๆ ให้ประสบความ สำเร็จตามที่ตั้งจุดมุ่งหมายไว้ เช่น การสั่งซื้อของ การโฆษณาสินค้า การทวงหนี้ หรือสอบถาม และ คอยสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ การสมัครงาน เป็นต้น การเขียนจดหมายประเภทนี้ต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการ ระเบียบการเขียนมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน คำขึ้นต้น คำลงท้าย ที่มีการกำหนดไว้อย่างแน่ชัด ข้อความที่ใช้ต้องรัดกุม กระชับ สั้น แต่ได้ใจความ และสามารถสื่อสารกันได้ถูกต้อง

หลักการเขียนจดหมายธุรกิจ มีดังนี้
        ๑. ใช้ภาษามาตรฐาน ถ้อยคำสำนวนสุภาพ กะทัดรัด ตัวสะกด การันต์ และเครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ต้องถูกต้อง
        ๒. มีความสมบูรณ์ เนื้อความของจดหมายสามารถสื่อสารได้ถูกต้องครบถ้วน ตามความประสงค์ของผู้เขียน
        ๓. มีความชัดเจน ภาษาที่ใช้เข้าใจความหมายได้ง่ายและถูกต้องตรงตามความต้องการ
ของผู้เขียน
        ๔. แสดงความระลึกถึงผู้อ่านเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน (สมพร มันตะสูตร แพ่งพิพัฒน์, ๒๕๔๐ : ๑๐๖)

ลักษณะจดหมายธุรกิจที่ดี ควรมีลักษณะ ดังนี้
        ๑. ใช้กระดาษและซองคุณภาพอย่างดี มีมาตรฐาน
        ๒. วางรูปแบบถูกต้องตามแบบฟอร์มที่กำหนด
        ๓. มีความประณีตในการพิมพ์
        ๔. มีความสะอาดเรียบร้อยเป็นระเบียบ
        ๕. ใช้ภาษาสุภาพ มีความถูกต้อง กะทัดรัด ชัดเจน
        ๖. มีเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการสื่อสาร

การเขียนรายงาน

        การเขียนรายงาน คือการเขียนที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้ความคิดหรือผลจากการศึกษาค้นคว้า สำรวจ รวมทั้งเสนอแนวทางปฏิบัติงานเรื่องต่าง ๆ
        การเขียนรายงานเชิงวิชาการ คือการเขียนที่ผู้ศึกษาเขียนขึ้นเพื่อรายงานผลการศึกษา หรือผลการปฏิบัติงาน เนื้อหาในรายงานจะเกี่ยวกับการศึกษา สำรวจ วิเคราะห์ วิจัย รวมทั้งการเสนอ
ข้อคิดเห็นและแนวทางการปฏิบัติงาน นักเรียน นักศึกษา ส่วนมากจำเป็นต้องเขียนรายงาน โดยผู้สอนมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้รู้จักศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมนอกจากการศึกษาเล่าเรียนในชั้นเรียน และโดยเฉพาะเป็นการเสนอวิทยาการใหม่ ๆ ที่ได้ค้นพบมาเผยแพร่

หลักเบื้องต้นในการเขียนรายงาน คือ
        ๑. ควรกำหนดหัวข้อในการเขียนรายงานให้อยู่ในขอบเขตของรายวิชาที่กำลังศึกษาอยู่
        ๒. ทำโครงร่างตามหัวข้อที่กำหนดไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการค้นคว้า
        ๓. ค้นคว้า ศึกษาข้อมูล หลักฐาน เพื่อนำมาประกอบการเขียนรายงาน ทำได้โดยการอ่าน การฟัง การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง
        ๔. นำข้อมูล หรือเรื่องที่ได้มาจัดลำดับให้เป็นไปตามโครงร่างที่วางไว้
        ๕. ลงมือเขียนรายงานตามรูปแบบที่นิยมใช้โดยทั่วไป เช่น
                - หัวข้อเรื่องเขียนกลางหน้ากระดาษ
                - หัวข้อสำคัญเขียนชิดขอบซ้ายมือ และขีดเส้นใต้
                - ข้อย่อยต่อไปเขียนย่อหน้าไปประมาณ ๗ ตัวอักษร และถ้ามีหัวข้อย่อย ๆ ก็จะย่อ
เข้าไปอีก ๓ ช่วงตัวอักษร
        ๖. การเขียนรายงานต้องมีหลักฐานประกอบ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ หรือแหล่งข้อมูล
ที่นำมาเขียนไว้ในรายงาน ผู้เขียนจำเป็นต้องเขียนเชิงอรรถ หมายถึงส่วนท้ายของหน้าที่เขียนบอกที่มาว่าเป็นของใคร มาจากไหน ส่วนอัญประกาศ คือข้อความที่ผู้เขียนนำเอาข้อเขียนหรือคำพูดของ
ผู้อื่นมากล่าวไว้ในรายงาน
        ๗. ในรายงานนั้น ๆ ควรมีข้อสรุปความคิดเห็นของผู้เขียนเองว่าได้อะไรบ้าง อาจมีการวิจารณ์และข้อเสนอแนะด้วยก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่ลักษณะของเรื่องที่เขียน
        ๘. การใช้ภาษาในการเขียนรายงานต้องเป็นภาษาแบบทางการ กระชับ สละสลวย (ทัศนีย์ ศุภเมธี, ๒๕๒๖ : ๑๒๘)

ส่วนประกอบของรายงาน

        ส่วนประกอบของรายงานต่อไปนี้จะเป็นแบบแผนอย่างสากล ส่วนประกอบใหญ่ ๆ คล้าย ๆ กัน ในบางครั้งอาจพบความผิดแผกไปบ้าง ขึ้นอยู่กับผู้เขียนแต่ละคนว่าจะเคร่งครัดเพียงใด ดังนี้
        ๑. ปกรายงาน สิ่งที่ต้องมีอยู่ในปกรายงานคือ ชื่อเรื่อง ชื่อผู้เขียนรายงาน และข้อความ
ตรงส่วนล่าง ซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดของรายวิชา ภาควิชาหรือคณะ วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย
ภาคเรียนหรือภาคการศึกษา ปีการศึกษา
             - ใบรองปก เป็นกระดาษเปล่าที่ไม่มีข้อความใด ๆ เลย อยู่ถัดจากปกนอกทั้งด้าน
หน้าและด้านหลัง มีไว้สำรองเมื่อปกนอกหลุดหรือฉีกขาด
             - ปกใน คือส่วนที่ถัดจากใบรองปกด้านหน้าเข้าไป ใช้กระดาษเขียนรายงานธรรมดาจะเหมือนกับปกนอก เพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เขียนลงไป
        ๒. คำนำ คือข้อเขียนที่ใช้กล่าวนำเรื่องรายงานเพื่อให้ทราบความเป็นมา หรือจุดมุ่งหมายของการเขียนรายงาน บางครั้งอาจมีคำขอบคุณ ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการทำรายงาน
        ๓. สารบัญ คือหน้าที่บอกหัวเรื่องในการรายงาน อาจแบ่งเป็นสารบัญเรื่อง สารบัญภาพ สารบัญตาราง มีส่วนช่วยให้ผู้อ่านรู้หัวข้อของเนื้อหาในเล่มโดยไมต้องเปิดรายงานดูทั้งเล่ม
        ๔. บทนำ คือข้อความนำเรื่อง เพื่ออธิบายหรือทำความเข้าใจบางอย่างกับผู้อ่าน เช่น
การอธิบายวิธีอ่านรายงาน การแบ่งเนื้อหา หรือวัตถุประสงค์ของการศึกษาเรื่องนั้น ๆ
        ๕. หน้าบอกตอน คือหน้าที่บอกตอนหรือภาค จะมีในกรณีที่รายงานหรือวิทยานิพนธ์นั้น
มีความยาวและเสนอเรื่องด้วยการแบ่งออกเป็นตอนหรือภาค
        ๖. เนื้อหาของรายงาน หน้าแรก หรือหน้าที่ ๑ ของรายงานจะมีลักษณะพิเศษต่างจากหน้าอื่น คืออาจขึ้นต้นด้วยคำว่า บทที่ ๑ ตอนที่ ๑ หรือขึ้นต้นด้วยชื่อเรื่องกลางหน้ากระดาษ
        ๗. ส่วนประกอบในเนื้อหา เนื้อหาของรายงานควรดำเนินไปตามโครงเรื่อง และประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ ๓ ส่วน คือ
      - คำนำหรือบทนำ เป็นข้อความเริ่มต้น บอกกล่าวให้ผู้อ่านได้เตรียมพร้อมที่จะรับรู้
ว่าเรื่องที่อ่านนั้นมีแนวทางหรือจุดมุ่งหมายอย่างไร
     - เนื้อหา เป็นส่วนสำคัญที่สุดของรายงานและจะบรรยายรายละเอียดของความรู้ความคิดหรือผลการปฏิบัติงานไปตามโครงเรื่องแต่ละข้อที่ได้วางไว้แล้ว หัวข้อในเนื้อหาจะตรงกับสารบัญทุก ๆ ข้อ
     - บทสรุป จะมีลักษณะการเขียนหลายแบบ เช่น การเขียนสรุปเรื่องทั้งหมดไว้ในตอนท้าย หรือเขียนเสนอแนะจากข้อมูลที่มีอยู่ในรายงาน หรือสรุปผลรายงานอย่างสั้น ๆ หรือเขียนตอนจบรายงานโดยให้ผู้อ่านรู้เองว่าถึงตอนจบแล้ว หรือจบแบบลอยๆ ไม่มีการลงท้าย
        ๘. ภาคผนวก คือส่วนของความรู้เพิ่มเติมที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านรู้ แต่บรรจุลงในส่วนของเนื้อหาไม่ได้ เพราะจะทำให้เนื้อหายาวและเยิ่นเย้อเกินไป
        ๙. บรรณานุกรม คือรายชื่อหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบเป็นข้อมูลในการเขียนรายงาน เอกสารอ้างอิงในการเขียนบรรณานุกรมได้แก่ หนังสือ บทความในหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ สารานุกรม วิทยานิพนธ์ จุลสาร เอกสารอัดสำเนา และการสัมภาษณ์

หลักในการเขียนบรรณานุกรมลงรายการต่าง ๆ ตามลำดับและเครื่องหมายดังนี้

ชื่อผู้แต่ง. ชื่อเรื่อง. ครั้งที่พิมพ์. (ถ้ามีพิมพ์ครั้งที่ ๒ ขึ้นไป) สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์, ปีที่พิมพ์.
สุภาพ รุ่งเจริญ. ภาษาไทยธุรกิจระดับ ปวส. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๔๒.

        ๑๐. ศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับการเขียนรายงาน การเขียนรายงานนักศึกษาต้องค้นคว้าจากตำราหลายเล่ม ในบางครั้งอาจจะได้พบศัพท์เฉพาะที่ปรากฏอยู่ในหนังสือที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ศัพท์เหล่านั้นให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

การเขียนบันทึกส่วนตัว
        การบันทึกส่วนตัว หมายถึง    การเขียนบันทึกย่อเรื่องราวที่เราได้อ่านหรือได้ฟังมา ซึ่งช่วยให้ผู้จดบันทึกกันลืม เป็นการช่วยประหยัดเวลาเมื่อจะทบทวน เรื่องนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปอ่านใหม่ ทั้งหมด


๒.๒ การเขียนอนุทิน

การเขียนอนุทิน

        การเขียนอนุทิน หมายถึง   การเขียนหรือจดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัว สังคม หรือเหตุการณ์โลก แต่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากบันทึกแบบอื่น คือ ผู้จดบันทึกสามารถใส่ความรู้สึกนึกคิดของตนที่มีต่อเรื่องราวหรือเหตุการณ์เหล่านั้นลงไปได้ด้วย


การเขียนเล่าเรื่อง
        การเขียนเล่าเรื่องก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนได้ประสบพบเห็นมา หรือได้อ่านมา สามารถแพร่ไปได้อย่างรวดเร็ว การเขียนเล่าเรื่องที่สำคัญมี ๒ ประเภท

         ๑. การเขียนเล่าเรื่องประสบการณ์
        การเขียนเล่าเรื่องประสบการณ์ ถือเป็นการได้บันทึกความทรงจำหรือเหตุการณ์ที่ประสบมา การที่จะเขียนเล่าเรื่องได้ดีนั้นผู้เขียนต้องมีความรอบรู้ ช่างสังเกต รู้จักเปรียบเทียบ
และสอดแทรกความคิดเห็น เวลาที่ได้พบเห็นอะไรถ้าหากเกิดความรู้สึกประทับใจสิ่งใดขึ้นมา ก็ต้องรีบบันทึกใส่สมุดทันที

          ๒. การเขียนเล่าประวัติบุคคล
        บุคคลที่นำมาเล่าควรเป็นชีวิตของบุคคลที่สำคัญ น่าสนใจ เป็นวีระบุรุษ ศิลปิน หรือแม้แต่บุคคลธรรมดาที่ได้ต่อสู้กับชีวิตมาด้วยความยากลำบาก จนในที่สุดประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านได้ยึดเป็นแบบอย่างต่อไป หรือบางคนที่เกิดมาลำบากยากแค้น หมดกำลังใจ เพราะรู้สึกหมดหนทาง แต่เมื่อได้อ่านชีวประวัติของบุคคลบางคนที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จได้ก็เกิดกำลังใจ ต่อสู้ชีวิตต่อไป

๒.๔ การเขียนแนะนำหนังสือ การวิจารณ์วรรณกรรม
๒.๔ การเขียนแนะนำหนังสือ การวิจารณ์วรรณกรรม
๒.๕ การเขียนเรื่องสั้น
๒.๖ การเขียนบทละครพูดสั้น ๆ
๒.๗ การเขียนสารคดี
๒.๘ การเขียนเรื่องสำหรับเด็ก
๒.๙ การเขียนโฆษณา


สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชุมพร     
ต.ขุนกระทิง อ.เมือง จ.ชุมพร 86190 โทร. 0-7753-4279 โทรสาร. 0-7753-4277
Design by : Patumariya Thammarachika
   (2008)