3. วิทยาศาสตร์การกีฬากับกีฬายุคใหม่

วิทยาศาสตร์การกีฬา ( Sports Science) เป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา ในปัจจุบันมีการนำเอาวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วยพัฒนาสมรรถภาพทางกายและจิตใจของนักกีฬาให้มีความสามารถในการเล่นกีฬาให้เกิดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่เกิดการบาดเจ็บหรือได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด นอกจากนี้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬานี้ยังจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงและเสริมสร้างสุขภาพและพลานามัยของประชาชนทั่วไปรวมถึงการประกอบอาชีพการงานต่างๆ ฉะนั้นการฝึกกีฬาในยุคปัจจุบันจำเป็นจะต้องนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาพัฒนากีฬาอย่างจริงจัง เพื่อให้ความสามารถของนักกีฬานั้นทัดเทียมกับนานาประเทศทั่วโลกได้ ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬานั้นประกอบด้วยสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้

1. สรีรวิทยาทางการกีฬา ( Sports Physiology) สาขาวิชานี้เกี่ยวข้องกับสรีรวิทยา ( Physiology) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสรีรวิทยาของการออกกำลังกาย ( exercise physiology) กายวิภาคศาสตร์ ( anatomy) ชีวเคมีและโภชนาการ ( biochemical nutrition) ของคนหรือนักกีฬา นอกจากนี้ยังอาจจะครอบคลุมไปถึงเภสัชวิทยา ( Pharmacology) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับยาสารกระตุ้นและฮอร์โมนอีกด้วย

การเล่นกีฬาจะทำให้มีการตอบสนองของร่างกายจากอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญ เช่น กล้ามเนื้อ หัวใจและหลอดเลือด ปอด สมอง และต่อมไร้ท่อของนักกีฬาแต่ละประเภทซึ่งจะแตกต่างกันออกไปจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้หลักการทางสรีรวิทยาเข้ามาช่วยในการฝึกฝนและเตรียมนักกีฬา (ทางด้านทักษะ ความเร็ว ความอดทน และจิตใจที่เข้มแข็ง) ให้มีความสามารถสูงสุด ทั้งนี้ก็จำเป็นจะต้องมีวิธีทดสอบความสามารถหรือสมรรถภาพเฉพาะประเภทกีฬานั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีการกินอาหารที่ถูกต้องควบคู่กันไปด้วย

2. ชีวกลศาสตร์ ( Biomechanics) วิชาการแขนงนี้จะเป็นขบวนการวิเคราะห์และวิจัยการเคลื่อนไหวของนักกีฬาในท่าทางต่างๆ กัน อันจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนที่ของอุปกรณ์กีฬาชนิดต่างๆ ด้วย เช่นลูกฟุตบอล ลูกเทนนิส ลูกขนไก่ ค้อน ตุ้มน้ำหนัก และแหลน เป็นต้น การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของนักกีฬานั้นจะมีความสำคัญต่อวิธีการฝึกฝนจนได้การเล่นที่มีประสิทธิภาพทางสูงสุดของนักกีฬาประเภทนั้นๆ อาทิ ยิมนาสติก กระโดดไกล กระโดดสูง กระโดดน้ำ และวอลเลย์บอล เป็นต้น สำหรับการกระโดดสูงขึ้นอาจจะมีการพัฒนาและค้นพบวิธีกระโดดใหม่ๆ ที่ทำให้การกระโดดของนักกีฬาของนักกีฬาได้ความสูงเพิ่มมากขึ้นไปกว่าในปัจจุบัน เช่นเดียวกับการพัฒนาวิธีกระโดดสูงจากแบบ Western Roll มาเป็น Fosbury’s flop

สำหรับประเทศไทยกีฬาตะกร้อซึ่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอีกประเภทหนึ่งนั้น น่าจะได้มีการนำเอาชีวกลศาสตร์เข้ามาวิจัยและวิเคราะห์แรงและทิศทางการเคลื่อนที่ของลุกจากการเตะในท่าต่างๆ กัน (และท่าเหล่านั้นจะไม่ทำให้ผู้เตะได้รับการบาดเจ็บภายหลังการเตะ) ซึ่งในปัจจุบันประเทศจีนได้นำวิธีการทางชีวกลศาสตร์นี้เข้าไปช่วยฝึกนักตะกร้อของเขาอยู่แล้ว

3. โภชนาการ ( Nutrition) อาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างพลังงาน ป้องกันและซ่อมแซมการสึกหรอของเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายในการเล่นกีฬา นักกีฬาทุกประเภทควรได้รับอาหารที่มีคุณภาพในปริมาณที่เพียงพอต่อการฝึกซ้อมและแข่งขันกีฬาและอาจจะต้องได้รับอาหารเสริมในนักกีฬาบางประเภท เช่น นักเพาะกาย ซึ่งอาจจะต้องได้รับอาหารเสริมจำพวกกรดอะมิโนบางชนิดมากขึ้นเพื่อกระตุ้นฮอร์โมน (สำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ) และเพื่อนำไปสร้างเซลล์กล้ามเนื้อใหม่ด้วย หรือนักวิ่งระยะไกลควรจะได้รับอาหารจำพวกแป้งอย่างเพียงพอก่อนการแข่งขันและได้รับไวตามิน อี และ ซี ( antioxidants) เพื่อป้องกันการทำลายเซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์อื่นๆ ในร่างกาย เป็นต้น นอกจากนี้การควบคุมอาหาร (ทั้งคุณภาพแลปริมาณ) เพื่อทำน้ำหนักให้เหมาะสมกับรุ่นของนักมวยและนักยูโด (เพื่อให้มีการลดน้ำหนักน้อยที่สุดก่อนการแข่งขัน) ก็มีคามสำคัญจำเป็นอย่างยิ่ง

4. จิตวิทยาการกีฬา ( Sports Psychology) วิชาการแขนงนี้มีความสำคัญมาก ในการเตรียมนักกีฬาที่มีสมรรถภาพทางกายที่ดีอยู่แล้วให้มีจิตใจที่เข้มแข็งจิตสำนึกที่ดีต่อทีมและประเทศชาติ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จของนักกีฬาเองด้วย จิตวิทยาการกีฬานี้มีความสำคัญมากในการแข่งขันเพื่อความเป็นเลิศ เพราะสามารถส่งผลให้การแข่งขันชนะหรือแพ้ได้ในทันที โดยส่วนร่วมจิตวิทยามีส่วนในการร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับนักกีฬามากถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ถึงกระนั้นก็ตามการนำเอาจิตวิทยาการกีฬาเข้าไปฝึกนักกีฬาโดยตรงนั้น เป็นเพียงความพยายามส่วนเดียวเท่านั้น แตจิตสำนึกที่เข้มแข็งและกำลังใจที่ดียังได้มาจากวิธีการฝึกสอนและการบิหารจัดการทีมที่ดีอีกด้วย

5. เวชศาสตร์การกีฬา ( Sport medicine) เป็นสาขาวิชาที่ช่วยในการพัฒนาการกีฬาเกี่ยวกับด้านการป้องกันการบาดเจ็บ การปฐมพยาบาลการบาดเจ็บและการฟื้นฟูสมรรถภาพหลังจากการบาดเจ็บทางการกีฬา ตลอดการวางแผนการฝึกซ้อมการแข่งขันที่สมบูรณ์ การฝึกซ้อมกีฬาที่ปราศจากการบาดเจ็บนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพการฝึกซ้อมสูงขึ้นและพัฒนาได้เร็วตามที่วางแผนไว้ในทางตรงกันข้ามนักกีฬาที่เกิดการบาดเจ็บหรือการบาดเจ็บเกิดขึ้นตลอดเวลาก็จะส่งผลเสียต่อการฝึก การแข่งขันต่อไป

6. วิศวกรรมและเทคโนโลยีการกีฬา (Engineering and Technology) วิชาการแขนงนี้มีส่วนช่วยพัฒนาการกีฬาหลายด้าน เช่น ในเรื่องอุปกรณ์การกีฬาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองเท้านักกีฬาที่ช่วยป้องกันการกระแทก เพิ่มแรงเสียดทาน เป็นต้น เครื่องมือทดสอบสมรรถภาพทางกายต่างๆ เครื่องวิเคราะห์การเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science) คอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในการกีฬาทั้งนี้เพื่อให้การบันทึกข้อมูล การวิเคราะห์ต่างๆ ละเอียดและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น คอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้กับ ชีวกลศาสตร์การกีฬาเพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหว สรีรวิทยาใช้การทดสอบสมรรถภาพทางกาย การฝึกสอนกีฬาการออกแบบโปรแกรมการฝึก โภชนาการการกีฬาวางแผนโภชนาการของนักกีฬา เป็นต้น

ความสัมพันธ์ของวิทยาศาสตร์การกีฬาสาขาต่างๆ

เมื่อพิจารณาข่ายของวิทยาศาสตร์การกีฬาจะพบว่ามีสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในการฝึกกีฬา พัฒนานักกีฬาให้เจริญก้าวหน้า ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องแสวงหา ศึกษาค้นคว้า ความรู้ที่หลากหลายเพื่อการฝึกกีฬามากขึ้น เริ่มตั้งแต่การดูแลสุขภาพของนักกีฬาทั่วไป การป้องกัน การปฐมพยาบาลรวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายหลังจาการบาดเจ็บจากการกีฬา

นอกจากนี้ต้องดูเรื่องอาหารนักกีฬา ยาที่ใช้กับนักกีฬา การฝึกสมรรถภาพทางกายด้านต่างๆ การวิเคราะห์ทักษะการเคลื่อนไหวรวมถึงการฝึกทางด้านจิตใจของนักกีฬาด้วย

3.1 สรุปสิ่งที่โค้ชควรรู้ในแง่วิทยาศาสตร์

1. โครงสร้างร่างกายสัมพันธ์กับชนิดของกีฬาที่เล่น รู้ว่าความสามารถทางการกีฬามีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างไร โครงสร้างร่างกายอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่จะเล่นกีฬาอะไรดีที่สุด เด็กอายุเท่าไรควรจะฝึกกีฬาอะไรเพื่อจะได้มีความสามารถสูงสุดที่อายุที่เหมาะสมกับการแข่งกีฬาประเภทต่างๆ และมีความรู้ว่านักกีฬาแต่ละชนิดมักมีความสามารถสูงที่อายุเท่าใด

2. ศึกษาให้รู้สรีรวิทยาของการออกกำลังกายเป็นอย่างดี รู้ว่าการออกกำลังกายประเภทใดใช้พลังงานแบบใดและใช้กล้ามเนื้อประเภทใด มีวิธีฝึกอย่างไร จึงจะทำให้กล้ามเนื้อและร่างกายมีระบบพลังงาน และสมรรถภาพที่ดีที่สุดสำหรับเล่นกีฬาแต่ละประเภท

3. รู้กระบวนการ ขั้นตอนการเรียนรู้ การกีฬา สามารถฝึกสอนและติดตามผลของกาฝึกฝนในการทำให้เกิดทักษะ รู้วิธีที่จะไปดัดแปลงกระบวนการการเรียนรู้ให้ดีขึ้นและเร็วขึ้น

4. รู้ชีวกลศาสตร์ ( Biomechanics) ในการจะแสดงออกทางการกีฬาอย่างละเอียด รู้วิธีวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของนักกีฬาเทียบกับนักกีฬาต่างๆ และนักกีฬาชั้นเยี่ยม สามารถสอนให้นักกีฬาฝึกจนมีคุณสมบัติทางชีวกลศาสตร์ที่ดีที่ทำให้เกิดความสามารถสูงสุด มีระบบประเมินผล ( feed back) เพื่อในการปรับปรุงกรทำงานเทียบกับนักกีฬาตัวอย่างและคู่ต่อสู้ รู้กฎทางฟิสิคส์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของคนและสิ่งของเป็นอย่างดี สามารถดึงเอาความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการฝึกนักกีฬาได้ถูกต้อง ให้เกิดผลสูงสุด

5. มีความรู้สรีรวิทยาของการฝึก ( Physiology of training) เป็นอย่างดี วิทยาการแขนงนี้มีความจำเป็นสำหรับโค้ชที่จะวางแผนการฝึกนักกีฬาให้เกิดคุณสมบัติทางสรีรวิทยา ความสามารถและสมรรถภาพพื้นฐานที่จะช่วยให้เล่นกีฬาที่กำหนดให้ดีขึ้นถึงขีดความสามารถสูงสุด โค้ชจะต้องรู้วิธีการ ( Method) ที่จะฝึกร่างกายและจิตใจของนักกีฬาให้เกิดผลดีสูงสุดอย่างละเอียด

6. ต้องรู้จิตวิทยาการกีฬา ( Sport psychology) ทั้งพื้นฐานและวิธีประยุกต์ใช้ และรู้เทคนิคการฝึกจิตนักกีฬาให้มีระดับแรงจูงใจและความตื่นตัวเหมาะสมในการเล่นกีฬา ให้มีความสามารถสูงสุดในสถานการณ์กดดันต่างๆ และการได้รับการฝึกในด้านจิตใจที่เหมาะสม ที่แล้วมานักกีฬาและโค้ชมักคิดว่า การฝึกทางจิตที่เหมาะสม ที่แล้วมานักกีฬาและโค้ชมักคิดว่า การฝึกทางจิตเพียงเล็กน้อยและไม่ต้องจริงจังนักก็จะทำให้เกิดผลอย่างสูงได้ จึงมักฝึกทางจิตไม่ครบตามโปรแกรมที่วางไว้อย่างดี จึงมักไม่ได้ผลเต็มที่ โค้ชจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาเป็นอย่างดีให้รู้จักวิธีประยุกต์ใช้จิตวิทยาการกีฬาในภาวะเล่นกีฬาที่เกี่ยวข้อง และประยุกต์ใช้ในการทำงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้เกิดผลดีสูงสุด

7. โค้ชควรมีความรู้รอบตัวในเรื่องอื่นๆ ที่จะเกี่ยวข้องโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อความสามารถของนักกีฬา เพื่อสามารถจัดการไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาลดฝีมือของนักกีฬา และใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นเมื่อมีโอกาส เช่น รู้เกี่ยวกับผลของอากาศ (เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, ความสูงจากระดับน้ำทะเล) ต่อนักกีฬารู้เกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์และโทษต่อนักกีฬา, รู้ผลของการอดนอนและการพักผ่อนต่อนักกีฬา, รู้ผลของยา, การเจ็บป่วย และการบาดเจ็บต่อการเล่นกีฬา

8. รู้วิธีเบื้องต้นในการดูแลสุขภาพนักกีฬา และวิธีป้องกันการบาดเจ็บเป็นอย่างดีโดยอาศัยความรู้ทาง Sports medicine ที่ได้รับการฝึกฝนมาบ้าง

9. มีความสามารถในการบริหารโดยอาศัยความรู้ทางการบริหารกีฬา ( Sports management) มาใช้ในการบริหารเวลาและทรัพยากรที่จะอำนวยให้การเตรียมนักกีฬาประสบผลสำเร็จสูงสุด

โค้ชที่ดีต้องรู้จักพิจารณาตนเองเสมอว่าขาดความรู้ที่จำเป็นที่จะใช้ในงานของตนในด้านใดต้องพยายามศึกษาค้นคว้าหาความรู้อยู่ตลอดเวลา รู้ว่าถ้าต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจะเอาผู้เชี่ยวชาญอะไรและจากไหนมาช่วยให้ถูกจังหวะเวลา โค้ชต้องฝึกตนให้มีสปิริตทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific spirit) ในการสังเกตคำถาม, ตั้งสมมติฐาน, พิสูจน์สมมติฐาน เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง และสรุปผลที่ได้ให้ใกล้เคียงความจริงที่สุด แล้วนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการฝึกนักกีฬา ผลของการทำงานจะต้องมีการตรวจวัดได้ (ประเมินผล) แล้วนำผลนั้นมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนปรับปรุงวิธีการให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา จึงจะช่วยให้ผลงานของโค้ชประสบความสำเร็จอย่างสูงในที่สุด



         
กลับหน้าหลัก กลับหัวข้อการเรียน กลับหน้าก่อน หน้าถัดไป