ระบบกระดูกเป็นระบบที่ประกอบด้วยกระดูก (bone) กระดูกอ่อน (cartilages) เอ็น (tendon) และข้อต่อ (jionts)           กระดูกเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่มีคุณสมบัติแข็ง เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆ ช่วยรองรับอวัยวะต่างๆ ให้อยู่ในตำแหน่งที่ควรอยู่และคงรูปร่างไว้ ทำหน้าที่คุ้มกันอวัยวะและร่างกายส่วนที่อ่อนแอ เป็นที่สร้างเม็ดเลือด และเป็นที่เก็บแคลเซียม และช่วยทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหว กระดูกมีน้ำหนักรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 1/7ของน้ำหนักของร่างกาย กระดูกของคนเราจะเจริญจนกระทั่งถึงอายุ 20-25 ปี

ส่วนประกอบของเนื้อเยื่อกระดูก
เซลล์ของกระดูกจะดึงฟอสฟอรัส แคลเซียม และวัตถุอื่นๆ  จากเลือดมาสร้างกระดูก กระดูกเมื่อเจริญเต็มที่จะประกอบด้วยของเหลว 50% และของแข็ง 50%  ซึ่งของแข็งนี้ประกอบด้วย
1. สารอินทรีย์ (organic mater) มีประมาณ 1/3 ของของแข็งทั้งหมด ประกอบด้วยเซลล์ callagen fiber  ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้กระดูกมีความยืดหยุ่น (elasticity) ช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกหัก
2. สารอนินทรีย์ (inorganic mater) มีอยู่ประมาณ 2/3 ของของแข็งทั้งหมด ประกอบด้วยเกลือแคลเซียมต่างๆ เช่น calcium phosphate (80%) calcium carbonate (10%) และอื่นๆ ซึ่งเกลือแคลเซียมเหล่านี้จะทำให้กระดูกแข็ง

                ในเด็กกระดูกกำลังเจริญเติบโตจึงมีส่วนประกอบของสารอินทรีย์มากกว่าสารอนินทรีย์ ทำให้กระดูกมีความยืดหยุ่นดีกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุจะมีสารที่เป็นเกลื่อแร่มากกว่าปกติ ทำให้ผู้ใหญ่เมื่อได้รับอุบัติเหตุหกล้มกระดูกจะหักง่ายกว่า

จำนวนกระดูกในร่างกาย
                ในร่างกายผู้ใหญ่ที่กระดูกเจริญเต็มที่แล้ว จะมีกระดูกประมาณ 206 ชิ้น แต่เมื่อยังเป็นทารกอยู่นั้นจะมีกระดูกประมาณ 270 ชิ้น และขณะอยู่ในครรภ์จะมีกระดูกมากถึง 800 ชิ้น เพราะว่ากระดูกบางชิ้นยังไม่ติดต่อกัน กระดูกในร่างกาย 206 ชิ้นได้แก่

การแบ่งส่วนของกระดูก
โครงกระดูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้
1.  กระดูกศีรษะ (skull) ตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง ประกอบด้วยกระดุกกะโหลกศีรษะ 8 ชิ้น และกระดูกหน้า 14 ชิ้น ติดต่อรวมกันเป็น กะลามะพร้าว สำหรับบรรจุและป้องกันสมอง
2.  ก ระดูกลำตัว (trunk)
2.1 กระดูกหน้าอก 1 ชิ้นยาวประมาณ 6 นิ้ว ตั้งอยู่ตรงกลางหน้าอก ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนบน (manubrium) ส่วนกลาง(body) และลิ้นปี่ (xiphoid)
2.2 กระดูกซี่โครง (ribs) มีทั้งหมด 12 คู่ หรือ 24 ชิ้น ข้างละ 12 ชิ้น แบน ยาว โค้ง คู่ที่ 1-7 มีกระดูกอ่อนติดกับกระดูกหน้าอก จึงเรียกว่า ซี่โครงแท้ ส่วนอีก 5 คู่ เรียกว่า ซี่โครงไม่แท้ เพราะปลายข้างหน้าไม่ได้ติดต่อกับกระดูกอ่อนของซี่โครงคู่ที่ 7

                3 กระดูกแขนและขา (extremities) ประกอบด้วย กระดูกแขน 2 ข้างรวมกัน 64 ชิ้น และกระดูกขา 2 ข้างรวมกัน  62 ชิ้น

ชนิดของกระดูก

  1. แบ่งตามที่อยู่
    1. กระดูกที่เป็นแกนของร่างกาย (axial skeletals)ประกอบด้วย กระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลังกระดูกหน้าอก และกระดูกซี่โครง
    2. กระดูกระยางค์ (appendicular skeletals)ประกอบด้วย กระดูกแขนและกระดูกขากระดูกไหปลาร้า กระดูกสะบัก กระดูกสะโพก
  2. แบ่งตามรูปร่าง
    1. กระดูกยาว (long bone) รูปร่างยาว มีไว้สำหรับรับน้ำหนักของร่างกาย และเคลื่อนไหวมากกว่ากระดูกชนิดอื่นมีทั้งหมด 90 ชิ้น ได้แก่                 


2.2  กระดูกสั้น (short bones) เป็นกระดูกที่มีรูปร่างสั้นมีอยู่ตามร่างกายในส่วนที่แข็งแรงสำหรับออกแรงเมื่อทำงานแต่มีการเคลื่อนไหวน้อย มีทั้งหมด 30 ชิ้น คือกระดูกข้อมือ (carpus) 16 ชิ้น และกระดูกข้อเท้า (tarsus) 14ชิ้น
2.3  กระดูกแบน (flat bone) เป็นกระดูกที่มีรูปร่างแบน มีหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายใน เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ มีทั้งหมด 40 ชิ้น

2.4   กระดูกรูปแปลก (irregular bone) เป็นกระดุกที่มีรูปร่างไม่แน่นอน มีแง่เหลี่ยม โค้งมนไปมา เพื่อให้เหมาะกับรูปร่างของร่างกาย มีทั้งหมด 46 ชิ้น

การทำงานของข้อต่อ

                ข้อต่อในร่างกายถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการเคลื่อนไหว โดยทำหน้าที่เป็นจุดหมุนในการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ  ข้อต่อเกิดจากการเชื่อมต่อกันของกระดูกตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป เช่น ข้อเข่า ข้อศอก เป็นต้น
                ชนิดของข้อต่อ
                1. ข้อต่อชนิดเคลื่อนไหวไม่ได้เลย (fixed or immovable joint or synarthroses) เช่น ข้อต่อ กระโหลกศีรษะ  ข้อต่อบริเวณใบหน้า เป็นต้น
2. ข้อต่อชนิดเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย (slightly  movable joint or amphiarthroses) เช่น ข้อต่อกระดูกสันหลัง ข้อต่อกระดูกเชิงกราน เป็นต้น
3. ข้อต่อชนิดเคลื่อนไหวได้มาก (freelymovable joint or diarthroses) แบ่งออกได้ดังนี้
3.1  glinding joint  เป็นข้อต่อชนิดเลื่อนไถลไปมา เช่น ข้อต่อระหว่างกระดูกบริเวณข้อมือ และข้อเท้า
3.2  hinge joint     เป็นข้อต่อรูปบานพับเคลื่อนไหวได้โดยการพับไปด้านหน้าและด้านหลัง เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า  เป็นต้น
3.3  condyloid joint  เป็นข้อต่อที่มีการเคลื่อนไหวได้  2 ทาง โดยเคลื่อนไหวไปด้านหน้าด้านหลังและด้านข้าง เช่น ข้อจ่อข้อมือ และข้อเท้า
3.4  saddle joint  เป็นข้อต่อที่มีรูปคล้ายอานม้า โดยหัวกระดูกข้างหนึ่งเว้าและข้างหนึ่งนูนออกมาสวมเข้ากันกลายเป็นข้อต่อ เคลื่อนไหวได้ 2 ทาง เช่น ข้อต่อระหว่างกระดูกฝ่ามือด้านนิ้วหัวแม่มือกับกระดูกนิ้วมือ
3.5  pivot joint  เป็นข้อต่อที่รูปคล้ายสกรู โดยที่กระดูกชิ้นหนึ่งสวมและหมุนอยู่ในกระดูกอีกชิ้นหนึ่ง เช่น ข้อต่อบริเวณคอระหว่างกระดูก atlas กับ axis ข้อต่อระหว่างกระดูก radius กับ ulna
3.6  ball and socket joint เป็นข้อต่อที่มีหัวกระดูกด้านหนึ่งกลมและอีกด้านหนึ่งเป็นเบ้าสวมเข้าด้ายกัน เช่น ข้อต่อหัวไหล่ ข้อต่อสะโพก เป็นต้น

การเคลื่อนไหวของข้อต่อ
1. การงอ (flexion)  เป็นการเคลื่อนไหวลักษณะปลายกระดูกงอเข้าหาอีกด้านหนึ่ง เช่น งอข้อศอก งอข้อเข่า เป็นต้น
2. การเหยียด (extension) เป็นการเคลื่อนไหวลักษณะตรงกันข้ามกับการงอ
3.  การกาง (abduction) เป็นการเคลื่อนไหวลักษณะออกจากลำตัวเช่น การกางแขน การกางขา เป็นต้น
4.  การหุบ (adduction) เป็นการเคลื่อนไหวลักษณะตรงกันข้ามกับการกาง
5.  การคว่ำมือ (pronation)
6.  การหงายมือ (supination)
7.  การยกข้างเท้าด้านในขึ้น (inversion)
8.  การยกข้างเท้าด้านนอกขึ้น (eversion)
9.  การยกขึ้นของส่วนต่างๆ (elevation)
10.  การยกลงของส่วนต่างๆ (depression)
11.  การกดฝ่าเท้าลง (plantar flexion)
12.  การยกหลังเท้าขึ้น (dorsi flexion)

รูปที่  5  แสดงโครงสร้างของข้อต่อของข้อศอก
 

 



         
กลับหน้าหลัก กลับหัวข้อการเรียน กลับหน้าก่อน หน้าถัดไป