|
|
มลพิษทางเสียง (Noise pollution) หมายถึง ภาวะแวดล้อมที่มีเสียงไม่พึง |
ปรารถนารบกวนโสตประสาทจนก่อให้เกิดความรำคาญหรืออันตรายต่อระบบการได้ |
ยินของมนุษย์และสัตว์ |
|
เสียงเป็นพลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของโมเลกุลของอากาศที่ผ่านสู่อวัยวะ |
รับฟังซึ่งต้องประกอบด้วยแหล่งกำเนิดเสียง ตัวกลางที่เดินผ่าน และการรับฟังคุณสมบัติ |
ที่สำคัญของเสียงคือ มีความถี่ (pith หรือ frequency) ซึ่งวัดเป็นรอบต่อวินาที |
(cycle per Second : cps) หรือครั้งต่อวินาที หรือ เฮิรตซ์ (hertz : Hz) เสียงสูงจะมี |
ความถี่มากกว่าเสียงต่ำ ระดับความถี่ของเสียงที่มนุษย์ได้ยินอยู่ระหว่าง 20 – 200,000 |
ครั้งต่อวินาที ส่วนความดังของเสียงจะวัดเป็นเดซิเบล(decibel : dB) ความดังปกตb |
ที่มนุษย์ได้ยินอยู่ระหว่าง 0 – 27 เดซิเบล เสียงที่เกิดจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของ |
มนุษย์อาจเป็นเสียงที่มีความถี่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ ซึ่งเป็นลักษณะของการสั่นสะเทือน |
หรือเป็นเสียงที่มีความถี่สูง รวมทั้งเสียงที่มีความดังเกิน 85 เดซิเบล ปัจจัยสำคัญของ |
มลพิษทางเสียง จึงประกอบด้วยระดับความถี่หรือความดังของเสียงและระยะเวลาใน |
การได้ยิน เสียงที่มีความไพเราะถือเป็นเสียงธรรมชาติ (Sound) ส่วนเสียงอึกทึกที่ |
ที่ทำให้เกิดความรำคาญและมีผลเสียต่อร่างกายและจิตใจเรียกว่าเสียงรบกวนหรือ |
เสียงอึกทึก (Noise) ระดับเสียงต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิตประจำวันอาจกำหนดได้เป็น |
ระดับเสียงในชีวิตประจำวัน |
|
ระดับเสียงในชีวิตประจำวัน (ต่อ) |
|
|
|
|
แหล่งกำเนิดมลพิษทางเสียง |
|
แหล่งกำเนิดเสียงอึกทึกหรือเสียงรบกวนซึ่งจัดเป็นมลพิษทางเสียงเกิดจากแหล่ง |
ต่าง ๆ ดังนี้ |
1. |
จากการจราจร ซึ่งเป็นเสียงจากการจราจรทางบก ทางน้ำ และทางอากาศที่ |
เป็นการขับเคลื่อนของยานพาหนะต่าง ๆ เช่น |
|
1.1 เสียงจากรถจักรยานยนต์ รถยนต์ รถไฟ ที่มีปัญหาในเมืองใหญ่ซึ่งยวดยาน |
หนาแน่น เสียงที่วัดได้จากย่านจราจรทางบกหนาแน่นจะมีความดังประมาณ |
65 – 95 เดซิเบล |
|
1.2 เสียงจากท่าอากาศยาน ที่เกิดจากเครื่องบิน ขณะขึ้นหรือลงและทำให้อากาศมี |
ความดันสูง เกิดการสั่นสะเทือนของหน้าต่างและกระจก เสียงที่วัดจากเครื่องบิน |
คอนคอร์ดมีความดังประมาณ 112 เดซิเบล |
|
1.3 เสียงจากยานพาหนะทางน้ำ ได้แก่ เรือยนต์และเรือหางยาว ซึ่งมีเสียงดังมาก |
คือ ประมาณ 80 – 100 เดซิเบล เนื่องจากท่อไอเสียไม่ได้มาตรฐาน |
|
1.4 เสียงที่เกิดจากยานพาหนะประเภทต่าง ๆ จะมีระดับความดังไม่เท่ากัน |
ระดับความดังของเสียงที่เกิดจากยานพาหนะ |
|
2. |
จากแหล่งชุมชนที่พักอาศัย เป็นเสียงที่เกิดจากการใช้เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน |
ต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องขยายเสียง เครื่องสูบน้ำ ซึ่งมีความดังประมาณ |
60 – 70 เดซิเบล |
3. |
จากโรงงานอุตสาหกรรม ที่เกิดจากการใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ประเภทต่างๆ |
โดยเฉพาะในโรงงานทอผ้า โรงไม้ โรงงานเฟอร์นิเจอร์ โรงกลึง โรงพิมพ์ .บริเวณ |
ก่อสร้างและอู่ซ่อมรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งมีความดังเฉลี่ยประมาณ 60 – 120 |
เดซิเบล ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องจักร |
4. |
จากเครื่องจักรกลทางการเกษตรกรรม ที่เกิดจากการใช้เครื่องยนต์ประกอบการ |
เกษตรเช่น เครื่องสูบน้ำ รถแทรกเตอร์ เครื่องสีข้าว เครื่องพ่นยาฆ่าแมลง เป็นต้น |
ความดังของเครื่องจักรกลเหล่านี้เฉลี่ยประมาณ 60 – 120 เดซิเบล |
5. |
จากแหล่งบันเทิงต่าง ๆ เช่น ดิสโก้เธค ไนต์คลับ และคอฟฟี่ชอป จะมีการใช้เครื่อง |
ขยายเสียงที่ดังมาก ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้บริการ ความดังโดยเฉลี่ยประมาณ |
60 – 120 เดซิเบล |
6. |
จากเสียงของมนุษย์ ที่เกิดจากการพูดคุยหรือทะเลาะวิวาท ทำให้เกิดเสียงดัง |
รบกวนประมาณเฉลี่ย 60 – 70 เดซิเบล |
7. |
แหล่งอื่น ๆ ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น ฟ้าร้อง |
ฟ้าผ่าเสียงยิงปืน ระเบิด การโฆษณาที่ใช้เครื่องกระจายเสียง เป็นต้น |
|
อันตรายจากมลพิษทางเสียง |
|
เสียงที่ดังเกินกว่าปกติจะมีผลเสีย ดังน |
|
1. อันตรายต่อการได้ยิน การอยู่ใกล้แหล่งเสียงที่ดังมาก ๆ เป็นเวลานานจะ |
เสียต่ออวัยวะในการรับฟัง ทำให้เกิดอาการผิดปกติ ดังนี้ |
|
1.1 หูตึงหรือหูอื้อชั่วคราว จากเสียงดังไม่มากและนานพอที่จะทำลายเซลล์ประสาท |
และปลายประสาทได้อย่างถาวร |
|
1.2 หูตึงหรือหนวกถาวร จากเสียงที่ดังมากเป็นเวลานานจะทำลายประสาทการได้ |
ยิน คือจะทำให้หูค่อย ๆ ตึงจนระบบการได้ยินเสียงอย่างถาวร ซึ่งมีการวิจับพบว่าผู้ |
อาศัยอยู่ใกล้แหล่งเสียงที่ดังเฉลี่ยกว่า 70 เดซิเบล ตลอด 24 ชั่วโมงจะทำให้หูตึงได้ใน |
เวลา 40 ปี |
|
1.3 หูตึงและหนวกแบบเฉียบพลัน จากการได้ยินเสียงดังเกินไปในระยะสั้น ๆ |
ทำให้เซลล์ประสาทและแก้วหูฉีกขาดทันที เช่น เสียงประทัด พลุ ระเบิด ฟ้าผ่า |
2. |
อันตรายต่อจิตใจ เสียงทำให้เกิดความรำคาญ นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท |
หงุดหงิด ไม่สบาย โกรธง่าย มีอาการทางประสาทโดยเฉพาะผู้เป็นโรคประสาทอาจ |
คลุ้มคลั่งได้ |
3. |
อันตรายต่อสุขภาพ เสียงที่ดังมากเกินไปมีผลต่อระบบการทำงานในร่างกายผิดปกติ |
เซลล์ประสาทและแก้วหูฉีกขาดทันที เช่น เสียงประทัด พลุ ระเบิด ฟ้าผ่ามีกรดใน |
กระเพาะอาหารมากผิดปกติ คลื่นไส้และอาเจียน (เป็นอาการของเสียงที่ดังเกิน 135 |
เดซิเบล) และทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่นโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร |
และโรคต่อมไทรอย์เป็นพิษ |
4. |
ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เพราะเสียงจะทำให้เสียสมาธิในการ |
ทำงานต่าง ๆ และอาจเกิดความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น |
5. |
เป็นการรบกวนการติดต่อสื่อสาร เสียงจากการพูดโดยตรง หรือการพูดที่ใช้ |
เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง |
6. |
ทำลายสิ่งมีชีวิต เสียงบางชนิดสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กให้ตายได้ เช่น |
เสียงจากเครื่องบินไอพ่นที่มีความถี่ประมาณ 15,000 – 20,000 เฮิรตซ์ เมื่อผ่าน |
ลงไปในน้ำจะทำให้แบคทีเรีย กบ และปลาตายภายในไม่กี่นาที |
|
การควบคุมและป้องกันมลพิษทางเสียง |
|
แนวทางการป้องกันมลพิษทางเสียงมีหลายวิธีการ ดังนี้ |
1. |
ใช้มาตรการทางกฎหมายหรือข้อบังคับ เพื่อกำหนดมาตรฐานความดังของเสียง |
และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษ ทางเสียงที่ใช้ในปัจจุบัน |
ประกอบด้วย |
|
1.1 พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 มาตราที่ |
32 64 68 92 |
|
1.2 พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 |
|
1.3 ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับ |
เสียงของรถยนต์ |
|
1.4 พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2535 |
|
1.5 ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2540) เรื่องการ |
กำหนดมาตรฐานระดับเสียงทั่วไป |
2. |
กำหนดค่ามาตรฐานของระดับเสียงรถยนต์ เพื่อควบคุมมลพิษทางเสียงและใช้เป็น |
เกณฑ์ในการตรวจสอบดังรายละเอียด |
ค่ามาตรฐานของระดับเสียงของรถยนต์ |
|
|
|
|
|
3. |
ลดหรือควบคุมระดับเสียงที่แหล่งกำเนิด ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น |
|
3.1 ติดตั้งเครื่องลดหรือเครื่องกรองเสียงด้วยการใช้ท่อไอเสียที่ได้มาตรฐานตาม |
แบบของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) |
|
3.2 ใช้หรือปรับแต่งเครื่องยนต์ให้มีความสมบูรณ์ ด้วยการใช้เครื่องยนต์อุปกรณ์ |
ตามแบบมาตรฐานของการผลิต การตรวจสอบดูแลสภาพเครื่องยนต์ในเรื่องน้ำมัน |
หล่อลื่นและการหลอม การสั่นคลอนของชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ |
|
3.3 ไม่ดัดแปลงท่อไอเสียหรือส่วนใดที่จะทำให้เกิดเสียงดังเกินไป |
|
3.4 ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์ในอัตราความเร็วพอเหมาะและไม่บรรทุก |
น้ำหนักเกิน |
|
3.5 ติดตั้งกำแพงป้องกันหรือดูดซับเสียงจากถนนหรือโรงงานอุตสาหกรรมและ |
กิจกรรมอื่น ๆ เช่น กำแพง ต้นไม้ หรือคันดิน |
|
3.6 เพิ่มระยะทางจากแหล่งกำเนิดเสียงถึงผู้รับ เช่น เว้นช่องระหว่างถนนและ |
บ้านเรือนหรืออาคารริมถนน กำหนดให้มีระยะห่างระหว่างเครื่องจักรที่มีเสียงดังกับ |
แนวเขตของโรงงาน กำหนดพื้นที่ว่างระหว่างขอบของโรงเรียนหรือกิจกรรมที่มีเสียง |
ดังกับบ้านเรือนประชาชน |
4. |
ลดหรือควบคุมระดับเสียงที่ผู้รับ เมื่อไม่สามารถลดระดับเสียงที่เกิดได้ เช่น ห้ามใช้ |
เสียงในบางเขตที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน |
และสถานที่พักฟื้น เป็นต้น |
5. |
ใช้อุปกรณ์ป้องกันหู ในกรณีที่ไม่สามารถจำกัดเวลาในการสัมผัสเสียงได้ การใช้ |
เครื่องป้องกันหูจะช่วยลดความเข้มข้นของเสียงที่จะผ่านเข้าในช่องหู เครื่องป้องกันหูที่ |
นิยมใช้ เช่น |
|
5.1 เครื่องอุดหู (Ear Plugs) ใช้อุดหูทั้ง 2 ข้าง โดยสอดใส่เข้าไปในช่องหู |
เครื่องอุดหูแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพในการลดเสียงแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของ |
วัสดุที่ทำ เช่น |
|
สำลีธรรมดาชนิดอัดแน่น ลดความดังได้ประมาณ 6 – 8 เดซิเบล |
|
ขี้ผึ้ง ดินน้ำมัน ลดความดังได้ประมาณ 20 เดซิเบล |
|
พลาสติก ยาง ลดความดังได้ประมาณ 18 – 25 เดซิเบล |
|
5.2 เครื่องครอบหู (Ear Muffs) ใช้ปกปิดครอบใบหูทั้ง 2 ข้าง เครื่องครอบหู |
ที่ได้มาตรฐานจะสามารถลดระดับความดังได้ตามลักษณะของเครื่องครอบหูแต่ละ |
ประเภท คือ |
|
แบบ Heavy ลดความดังเสียงได้ประมาณ 40 เดซิเบล |
|
แบบ Medium ลดความดังเสียงได้ประมาณ 35 เดซิเบล |
|
แบบ Light ลดความดังเสียงได้ประมาณ 30 เดซิเบล |
6. |
ตรวจสอบความสามารถในการได้ยินเพื่อแก้ไขความผิดปกติที่เกิดขึ้น ในกรณี |
ที่ต้องอยู่ในแหล่งกำเนิดเสียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้ |
|
6.1 ตรวจด้วยตัวเอง โดยยกมือขึ้นใกล้หู ใช้นิ้วชี้ถูกับนิ้วหัวแม่มือห่างจากหู |
ประมาณ 1 เซนติเมตร แล้วฟังเสียง ลองตรวจทีละข้างหากไม่ได้ยินให้ปรึกษาแพทย์ |
|
6.2 ตรวจโดยให้เพื่อนช่วย ให้ผู้ตรวจยืนหันหลังห่างจากเพื่อนประมาณ 5 ฟุต |
แล้วให้เพื่อนเรียกชื่อด้วยเสียงดังปกติ 4 – 5 ครั้ง หากไม่ได้ยินแสดงว่ามีปัญหาเกี่ยว |
กับการได้ยิน |
แนวทางป้องกันมลพิษ |
|
จากผลกระทบของมลพิษในด้านต่าง ๆ ที่สร้างความเสียหายให้กับมนุษย์และ |
สิ่งแวดล้อมจึงมีความจำเป็นในการกำหนดนโยบายและมีการส่งเสริมการป้องกัน |
มลพิษ เพื่อลดภาวะของการเป็นพิษให้มีระดับน้อยลง กรมควบคุมมลพิษ |
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (2542 : 11) ได้สรุปกลยุทธ์ที่ใช้ใน |
การส่งเสริมการป้องกันมลพิษไว้ ดังนี้ |
|
1. จัดทำนโยบายระดับชาติเพื่อส่งเสริมการป้องกันมลพิษควบคู่กับการพัฒนา |
เศรษฐกิจสังคม และอุตสาหกรรม |
|
2. ออกกฎหมายและระเบียบการปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการป้องกันมลพิษ |
|
3. สนับสนุนให้มีความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องในทุกระดับ |
|
4. เพิ่มการควบคุมแหล่งกำหนดมลพิษ จัดเก็บค่าธรรมเนียม ค่าปรั |
|
5. จัดทำโครงการให้ผลตอบแทนทางการเงินต่อผู้ใช้วิธีป้องกันมลพิษ เช่น |
ลดภาษี ลดค่าธรรมเนียม ให้เงินกู้ |
|
6. ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ผู้ประกอบการและให้ความรู้แก่ประชาชน |
ทั่วไป |
|
7. จัดทำโครงการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการป้องกันมลพิษกับต่างประเทศ |
|
8. สนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนารูปแบบการป้องกันมลพิษระดับชาติ |
|
9. จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างการป้องกันมลพิษ |
เช่น การนำกลับมาใช้ใหม่ การประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ การแลกเปลี่ยนของเสีย |
|
10. สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยจัดทำหลักสูตรการป้องกัน |
มลพิษในการศึกษาอบรม |
การป้องกันมลพิษกับ ISO 140 |
|
ISO 14000 เป็นอนุกรมมาตรฐานขององค์กรมาตรฐานสากล (Intermational |
Organization for Standaedization, ISO) ที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการ |
สิ่งแวดล้อม (Enviromental Management System, EMS) มาตรฐาน ISO |
14001ได้ประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยกำหนดเกณฑ์ในการจัดระบบสิ่งแวดล้อม |
ขององค์กรและเป็นมาตรฐานฉบับเดียวในอนุกรม ISO 14000 ที่ผู้ประกอบการ |
สามารถขอการรับรองได้ มาตรฐาน ISO 14001ได้กำหนดให้องค์กรมีการจัดระบบ |
การจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลัก 5 ประการคือ |
|
1. กำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม โดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่ต้องมีความตั้งใจ |
มุ่งมั่นในการจัดองค์กรของตนให้มีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานก่อนจึง |
จะสามารถกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมขององค์กรเพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การปฏิบัติ |
อย่างถูกต้อง |
|
2. การวางแผน โดยผู้จัดโครงการสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมอบหมายจากผู้บริหาร |
ระดับสูงให้เป็นผู้วางแผนกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการเพื่อปรับปรุง |
และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรให้เป็นไปตามกฎหมายรวมทั้งจัดทำ |
แผนปฏิบัติการในกรณีฉุกเฉิน |
|
3. การปฏิบัติ โดยพนักงานทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามวิธีที่ |
กำหนดเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งองค์กรต้องจัดอบรมและสร้างจิตสำนึก |
ด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงานเพื่อให้ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการ |
ประทำของตน |
|
4. การตรวจสอบแก้ไข โดยผู้ตรวจประเมินเพื่อหาข้อบกพร่องในวิธีปฏิบัติและ |
เสนอแนะให้มีการแก้ไข เพื่อให้ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นไปตามข้อกำหนด |
ของมาตรฐาน |
|
5. การพิจารณาทบทวน โดยผู้บริหารที่พิจารณาผลการดำเนินงานของระบบการ |
จัดการสิ่งแวดล้อมเป็นระยะ ๆ เพื่อให้มีการปรับปรุงได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง |
|
การที่องค์กรสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐาน ISO 14000 ได้ จะเป็น |
การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้องค์กรทุกประเภทสามารถปรับปรุงระบบการ |
ทำงานของตนให้ทันกับความต้องการของลูกค้าและเป็นไปตามข้อกำหนดของ |
กฎหมาย นำไปสู่การประหยัดทรัพยากรธรรมชาติและลดมลพิษที่แหล่งกำเนิดอันเป็น |
การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน |
|
|
|
|
|
|
|
|