| 
          
          
            |   | 
            มลพิษทางเสียง  (Noise   pollution) หมายถึง   ภาวะแวดล้อมที่มีเสียงไม่พึง | 
          
          
            | ปรารถนารบกวนโสตประสาทจนก่อให้เกิดความรำคาญหรืออันตรายต่อระบบการได้ | 
          
          
            | ยินของมนุษย์และสัตว์  | 
          
          
          
          
            |   | 
            เสียงเป็นพลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของโมเลกุลของอากาศที่ผ่านสู่อวัยวะ  | 
          
          
            | รับฟังซึ่งต้องประกอบด้วยแหล่งกำเนิดเสียง  ตัวกลางที่เดินผ่าน และการรับฟังคุณสมบัติ | 
            
          
            | ที่สำคัญของเสียงคือ  มีความถี่ (pith หรือ  frequency) ซึ่งวัดเป็นรอบต่อวินาที  | 
            
          
            | (cycle per Second : cps) หรือครั้งต่อวินาที  หรือ เฮิรตซ์ (hertz : Hz) เสียงสูงจะมี | 
          
          
            | ความถี่มากกว่าเสียงต่ำ  ระดับความถี่ของเสียงที่มนุษย์ได้ยินอยู่ระหว่าง  20 – 200,000  | 
          
          
            | ครั้งต่อวินาที ส่วนความดังของเสียงจะวัดเป็นเดซิเบล(decibel : dB) ความดังปกตb | 
          
          
            | ที่มนุษย์ได้ยินอยู่ระหว่าง 0 – 27 เดซิเบล เสียงที่เกิดจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของ | 
          
          
            | มนุษย์อาจเป็นเสียงที่มีความถี่ต่ำกว่า  20 เฮิรตซ์  ซึ่งเป็นลักษณะของการสั่นสะเทือน  | 
          
          
            | หรือเป็นเสียงที่มีความถี่สูง  รวมทั้งเสียงที่มีความดังเกิน 85 เดซิเบล ปัจจัยสำคัญของ | 
          
          
            | มลพิษทางเสียง จึงประกอบด้วยระดับความถี่หรือความดังของเสียงและระยะเวลาใน | 
          
          
            | การได้ยิน  เสียงที่มีความไพเราะถือเป็นเสียงธรรมชาติ  (Sound) ส่วนเสียงอึกทึกที่ | 
          
          
            | ที่ทำให้เกิดความรำคาญและมีผลเสียต่อร่างกายและจิตใจเรียกว่าเสียงรบกวนหรือ | 
          
          
            | เสียงอึกทึก (Noise)  ระดับเสียงต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิตประจำวันอาจกำหนดได้เป็น | 
          
          
            ระดับเสียงในชีวิตประจำวัน  | 
            
          
            |               
             | 
            
          
            ระดับเสียงในชีวิตประจำวัน (ต่อ)   | 
            
          
             | 
            
          
            |   | 
              | 
          
          
            |   | 
            แหล่งกำเนิดมลพิษทางเสียง | 
          
          
            |   | 
            แหล่งกำเนิดเสียงอึกทึกหรือเสียงรบกวนซึ่งจัดเป็นมลพิษทางเสียงเกิดจากแหล่ง  | 
          
          
            ต่าง  ๆ ดังนี้  | 
            
          
          
            1.  | 
            จากการจราจร  ซึ่งเป็นเสียงจากการจราจรทางบก ทางน้ำ  และทางอากาศที่ | 
          
          
            | เป็นการขับเคลื่อนของยานพาหนะต่าง  ๆ เช่น | 
            
          
            |   | 
            1.1 เสียงจากรถจักรยานยนต์  รถยนต์ รถไฟ   ที่มีปัญหาในเมืองใหญ่ซึ่งยวดยาน | 
          
          
            | หนาแน่น  เสียงที่วัดได้จากย่านจราจรทางบกหนาแน่นจะมีความดังประมาณ | 
          
          
            | 65 – 95 เดซิเบล  | 
          
          
            |   | 
            1.2 เสียงจากท่าอากาศยาน  ที่เกิดจากเครื่องบิน ขณะขึ้นหรือลงและทำให้อากาศมี | 
          
          
            | ความดันสูง  เกิดการสั่นสะเทือนของหน้าต่างและกระจก เสียงที่วัดจากเครื่องบิน | 
            
          
            | คอนคอร์ดมีความดังประมาณ  112 เดซิเบล | 
            
          
            |   | 
            1.3 เสียงจากยานพาหนะทางน้ำ  ได้แก่ เรือยนต์และเรือหางยาว ซึ่งมีเสียงดังมาก | 
          
          
            | คือ ประมาณ  80 – 100 เดซิเบล  เนื่องจากท่อไอเสียไม่ได้มาตรฐาน | 
            
          
            |   | 
            1.4 เสียงที่เกิดจากยานพาหนะประเภทต่าง  ๆ จะมีระดับความดังไม่เท่ากัน | 
          
          
            ระดับความดังของเสียงที่เกิดจากยานพาหนะ  | 
            
          
             | 
            
          
            2.  | 
            จากแหล่งชุมชนที่พักอาศัย   เป็นเสียงที่เกิดจากการใช้เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน | 
          
          
            | ต่าง ๆ เช่น  วิทยุ  โทรทัศน์  เครื่องขยายเสียง เครื่องสูบน้ำ ซึ่งมีความดังประมาณ | 
            
          
          
            |   60 – 70 เดซิเบล  | 
            
          
          
            3.  | 
            จากโรงงานอุตสาหกรรม  ที่เกิดจากการใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ประเภทต่างๆ  | 
          
          
            โดยเฉพาะในโรงงานทอผ้า  โรงไม้   โรงงานเฟอร์นิเจอร์ โรงกลึง โรงพิมพ์ .บริเวณ  | 
            
          
            | ก่อสร้างและอู่ซ่อมรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งมีความดังเฉลี่ยประมาณ  60 – 120   | 
            
          
            | เดซิเบล ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องจักร | 
            
          
            4.  | 
            จากเครื่องจักรกลทางการเกษตรกรรม  ที่เกิดจากการใช้เครื่องยนต์ประกอบการ | 
          
          
            เกษตรเช่น  เครื่องสูบน้ำ รถแทรกเตอร์ เครื่องสีข้าว เครื่องพ่นยาฆ่าแมลง เป็นต้น  | 
            
          
            | ความดังของเครื่องจักรกลเหล่านี้เฉลี่ยประมาณ  60 – 120 เดซิเบล | 
          
          
            5.  | 
            จากแหล่งบันเทิงต่าง  ๆ เช่น ดิสโก้เธค ไนต์คลับ และคอฟฟี่ชอป จะมีการใช้เครื่อง | 
          
          
            | ขยายเสียงที่ดังมาก  ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้บริการ ความดังโดยเฉลี่ยประมาณ | 
          
          
            |   60 – 120 เดซิเบล | 
            
          
            6.  | 
            จากเสียงของมนุษย์  ที่เกิดจากการพูดคุยหรือทะเลาะวิวาท  ทำให้เกิดเสียงดัง | 
          
          
            | รบกวนประมาณเฉลี่ย  60 – 70  เดซิเบล | 
            
          
          
          
            7.  | 
            แหล่งอื่น  ๆ ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น ฟ้าร้อง | 
          
          
            | ฟ้าผ่าเสียงยิงปืน  ระเบิด การโฆษณาที่ใช้เครื่องกระจายเสียง เป็นต้น | 
          
          
            |   | 
            อันตรายจากมลพิษทางเสียง  | 
          
          
            |   | 
            เสียงที่ดังเกินกว่าปกติจะมีผลเสีย ดังน | 
          
          
             | 
            1. อันตรายต่อการได้ยิน  การอยู่ใกล้แหล่งเสียงที่ดังมาก ๆ เป็นเวลานานจะ | 
          
          
            | เสียต่ออวัยวะในการรับฟัง  ทำให้เกิดอาการผิดปกติ ดังนี้ | 
            
          
             | 
            1.1 หูตึงหรือหูอื้อชั่วคราว  จากเสียงดังไม่มากและนานพอที่จะทำลายเซลล์ประสาท  | 
          
          
            | และปลายประสาทได้อย่างถาวร | 
            
          
          
            |   | 
            1.2 หูตึงหรือหนวกถาวร   จากเสียงที่ดังมากเป็นเวลานานจะทำลายประสาทการได้ | 
          
          
            | ยิน  คือจะทำให้หูค่อย ๆ ตึงจนระบบการได้ยินเสียงอย่างถาวร ซึ่งมีการวิจับพบว่าผู้ | 
            
          
            | อาศัยอยู่ใกล้แหล่งเสียงที่ดังเฉลี่ยกว่า  70 เดซิเบล ตลอด 24 ชั่วโมงจะทำให้หูตึงได้ใน | 
            
          
            | เวลา  40 ปี | 
            
          
            |   | 
            1.3 หูตึงและหนวกแบบเฉียบพลัน  จากการได้ยินเสียงดังเกินไปในระยะสั้น ๆ | 
          
          
            | ทำให้เซลล์ประสาทและแก้วหูฉีกขาดทันที  เช่น เสียงประทัด พลุ ระเบิด ฟ้าผ่า | 
          
          
            2.  | 
            อันตรายต่อจิตใจ  เสียงทำให้เกิดความรำคาญ นอนไม่หลับ  หรือหลับไม่สนิท  | 
          
          
            | หงุดหงิด ไม่สบาย โกรธง่าย  มีอาการทางประสาทโดยเฉพาะผู้เป็นโรคประสาทอาจ | 
          
          
          
          
            | คลุ้มคลั่งได้ | 
            
          
            3.  | 
            อันตรายต่อสุขภาพ  เสียงที่ดังมากเกินไปมีผลต่อระบบการทำงานในร่างกายผิดปกติ  | 
          
          
            | เซลล์ประสาทและแก้วหูฉีกขาดทันที  เช่น เสียงประทัด พลุ ระเบิด ฟ้าผ่ามีกรดใน | 
            
          
            | กระเพาะอาหารมากผิดปกติ  คลื่นไส้และอาเจียน (เป็นอาการของเสียงที่ดังเกิน 135  | 
            
          
            | เดซิเบล) และทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง  ๆ เช่นโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร | 
            
          
            | และโรคต่อมไทรอย์เป็นพิษ  | 
            
          
            4.  | 
            ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง  เพราะเสียงจะทำให้เสียสมาธิในการ | 
          
          
            | ทำงานต่าง ๆ  และอาจเกิดความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น | 
            
          
            5.  | 
            เป็นการรบกวนการติดต่อสื่อสาร  เสียงจากการพูดโดยตรง หรือการพูดที่ใช้ | 
            
          
            | เครื่องมือสื่อสารต่าง  ๆ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง | 
            
          
            6.  | 
            ทำลายสิ่งมีชีวิต  เสียงบางชนิดสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กให้ตายได้ เช่น | 
            
          
            | เสียงจากเครื่องบินไอพ่นที่มีความถี่ประมาณ  15,000 – 20,000 เฮิรตซ์  เมื่อผ่าน | 
            
          
            | ลงไปในน้ำจะทำให้แบคทีเรีย กบ  และปลาตายภายในไม่กี่นาที | 
            
          
            |   | 
            การควบคุมและป้องกันมลพิษทางเสียง | 
          
          
            |   | 
            แนวทางการป้องกันมลพิษทางเสียงมีหลายวิธีการ  ดังนี้ | 
            
          
            1.  | 
            ใช้มาตรการทางกฎหมายหรือข้อบังคับ  เพื่อกำหนดมาตรฐานความดังของเสียง | 
            
          
            | และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษ ทางเสียงที่ใช้ในปัจจุบัน | 
            
          
            | ประกอบด้วย | 
            
          
            |   | 
            1.1 พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม  พ.ศ. 2535 มาตราที่ | 
            
          
            |  32 64 68  92 | 
            
          
            |   | 
            1.2 พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 | 
            
          
            |   | 
            1.3 ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม  เรื่อง กำหนดระดับ | 
            
          
            | เสียงของรถยนต์ | 
            
          
            |   | 
            1.4 พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2535 | 
            
          
            |   | 
            1.5 ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  ฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2540) เรื่องการ | 
            
          
            | กำหนดมาตรฐานระดับเสียงทั่วไป | 
            
          
            2.  | 
            กำหนดค่ามาตรฐานของระดับเสียงรถยนต์  เพื่อควบคุมมลพิษทางเสียงและใช้เป็น | 
            
          
            | เกณฑ์ในการตรวจสอบดังรายละเอียด | 
            
          
            ค่ามาตรฐานของระดับเสียงของรถยนต์  | 
            
          
            |                                            | 
            
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
          
            3.  | 
            ลดหรือควบคุมระดับเสียงที่แหล่งกำเนิด ด้วยวิธีการต่าง ๆ  เช่น  | 
            
          
            |   | 
            3.1 ติดตั้งเครื่องลดหรือเครื่องกรองเสียงด้วยการใช้ท่อไอเสียที่ได้มาตรฐานตาม | 
            
          
            | แบบของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)  | 
            
          
            |   | 
            3.2 ใช้หรือปรับแต่งเครื่องยนต์ให้มีความสมบูรณ์  ด้วยการใช้เครื่องยนต์อุปกรณ์ | 
            
          
            | ตามแบบมาตรฐานของการผลิต  การตรวจสอบดูแลสภาพเครื่องยนต์ในเรื่องน้ำมัน | 
            
          
            | หล่อลื่นและการหลอม  การสั่นคลอนของชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ | 
            
          
            |   | 
            3.3 ไม่ดัดแปลงท่อไอเสียหรือส่วนใดที่จะทำให้เกิดเสียงดังเกินไป  | 
            
          
            |   | 
            3.4 ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์ในอัตราความเร็วพอเหมาะและไม่บรรทุก | 
            
          
            | น้ำหนักเกิน | 
            
          
            |   | 
            3.5 ติดตั้งกำแพงป้องกันหรือดูดซับเสียงจากถนนหรือโรงงานอุตสาหกรรมและ | 
            
          
            | กิจกรรมอื่น  ๆ เช่น กำแพง ต้นไม้ หรือคันดิน | 
            
          
            |   | 
            3.6 เพิ่มระยะทางจากแหล่งกำเนิดเสียงถึงผู้รับ  เช่น เว้นช่องระหว่างถนนและ | 
            
          
            | บ้านเรือนหรืออาคารริมถนน  กำหนดให้มีระยะห่างระหว่างเครื่องจักรที่มีเสียงดังกับ | 
            
          
            | แนวเขตของโรงงาน  กำหนดพื้นที่ว่างระหว่างขอบของโรงเรียนหรือกิจกรรมที่มีเสียง | 
            
          
            | ดังกับบ้านเรือนประชาชน | 
            
          
            4.  | 
            ลดหรือควบคุมระดับเสียงที่ผู้รับ  เมื่อไม่สามารถลดระดับเสียงที่เกิดได้ เช่น ห้ามใช้ | 
            
          
            | เสียงในบางเขตที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบ  เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน  | 
            
          
            | และสถานที่พักฟื้น เป็นต้น | 
            
          
            5.  | 
            ใช้อุปกรณ์ป้องกันหู   ในกรณีที่ไม่สามารถจำกัดเวลาในการสัมผัสเสียงได้  การใช้ | 
            
          
            | เครื่องป้องกันหูจะช่วยลดความเข้มข้นของเสียงที่จะผ่านเข้าในช่องหู  เครื่องป้องกันหูที่ | 
            
          
            | นิยมใช้  เช่น | 
            
          
            |   | 
            5.1 เครื่องอุดหู  (Ear Plugs) ใช้อุดหูทั้ง  2 ข้าง  โดยสอดใส่เข้าไปในช่องหู | 
            
          
            | เครื่องอุดหูแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพในการลดเสียงแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของ | 
            
          
          
            | วัสดุที่ทำ  เช่น | 
            
          
            |   | 
            สำลีธรรมดาชนิดอัดแน่น       ลดความดังได้ประมาณ 6 – 8 เดซิเบล | 
          
          
            |   | 
            ขี้ผึ้ง  ดินน้ำมัน                ลดความดังได้ประมาณ  20 เดซิเบล | 
          
          
            |   | 
            พลาสติก  ยาง                 ลดความดังได้ประมาณ  18 – 25 เดซิเบล | 
            
          
            |   | 
            5.2 เครื่องครอบหู  (Ear  Muffs) ใช้ปกปิดครอบใบหูทั้ง 2 ข้าง เครื่องครอบหู | 
            
          
            | ที่ได้มาตรฐานจะสามารถลดระดับความดังได้ตามลักษณะของเครื่องครอบหูแต่ละ | 
            
          
            | ประเภท  คือ | 
            
          
            |   | 
            แบบ  Heavy       ลดความดังเสียงได้ประมาณ 40  เดซิเบล | 
            
          
            |   | 
            แบบ  Medium       ลดความดังเสียงได้ประมาณ 35  เดซิเบล | 
            
          
            |   | 
            แบบ  Light         ลดความดังเสียงได้ประมาณ  30   เดซิเบล | 
            
          
            6.  | 
            ตรวจสอบความสามารถในการได้ยินเพื่อแก้ไขความผิดปกติที่เกิดขึ้น  ในกรณี | 
            
          
            | ที่ต้องอยู่ในแหล่งกำเนิดเสียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้ | 
            
          
            |   | 
            6.1 ตรวจด้วยตัวเอง  โดยยกมือขึ้นใกล้หู  ใช้นิ้วชี้ถูกับนิ้วหัวแม่มือห่างจากหู | 
            
          
            | ประมาณ  1 เซนติเมตร แล้วฟังเสียง  ลองตรวจทีละข้างหากไม่ได้ยินให้ปรึกษาแพทย์ | 
            
          
            |   | 
            6.2 ตรวจโดยให้เพื่อนช่วย  ให้ผู้ตรวจยืนหันหลังห่างจากเพื่อนประมาณ  5 ฟุต | 
            
          
            | แล้วให้เพื่อนเรียกชื่อด้วยเสียงดังปกติ  4 – 5 ครั้ง หากไม่ได้ยินแสดงว่ามีปัญหาเกี่ยว | 
            
          
            | กับการได้ยิน | 
            
          
            | แนวทางป้องกันมลพิษ  | 
          
          
          
            |   | 
            จากผลกระทบของมลพิษในด้านต่าง  ๆ ที่สร้างความเสียหายให้กับมนุษย์และ | 
            
          
            | สิ่งแวดล้อมจึงมีความจำเป็นในการกำหนดนโยบายและมีการส่งเสริมการป้องกัน | 
            
          
            | มลพิษ  เพื่อลดภาวะของการเป็นพิษให้มีระดับน้อยลง  กรมควบคุมมลพิษ | 
          
          
            | กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (2542 : 11)  ได้สรุปกลยุทธ์ที่ใช้ใน | 
          
          
            | การส่งเสริมการป้องกันมลพิษไว้ ดังนี้ | 
          
          
            |   | 
            1. จัดทำนโยบายระดับชาติเพื่อส่งเสริมการป้องกันมลพิษควบคู่กับการพัฒนา  | 
            
          
            | เศรษฐกิจสังคม  และอุตสาหกรรม | 
            
          
            |   | 
            2. ออกกฎหมายและระเบียบการปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการป้องกันมลพิษ  | 
            
          
            |   | 
            3. สนับสนุนให้มีความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องในทุกระดับ | 
          
          
            |   | 
            4. เพิ่มการควบคุมแหล่งกำหนดมลพิษ  จัดเก็บค่าธรรมเนียม ค่าปรั | 
          
          
            |   | 
            5. จัดทำโครงการให้ผลตอบแทนทางการเงินต่อผู้ใช้วิธีป้องกันมลพิษ  เช่น | 
          
          
            | ลดภาษี ลดค่าธรรมเนียม  ให้เงินกู้ | 
            
          
            |   | 
            6. ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ผู้ประกอบการและให้ความรู้แก่ประชาชน  | 
          
          
            | ทั่วไป | 
            
          
            |   | 
            7. จัดทำโครงการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการป้องกันมลพิษกับต่างประเทศ  | 
            
          
            |   | 
            8. สนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนารูปแบบการป้องกันมลพิษระดับชาติ  | 
            
          
            |   | 
            9. จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างการป้องกันมลพิษ | 
            
          
            | เช่น การนำกลับมาใช้ใหม่  การประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ การแลกเปลี่ยนของเสีย | 
            
          
            |   | 
            10. สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยจัดทำหลักสูตรการป้องกัน | 
            
          
            | มลพิษในการศึกษาอบรม | 
            
          
            | การป้องกันมลพิษกับ  ISO 140 | 
            
          
            |   | 
            ISO 14000  เป็นอนุกรมมาตรฐานขององค์กรมาตรฐานสากล  (Intermational | 
            
          
            | Organization for  Standaedization, ISO) ที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการ | 
          
          
            | สิ่งแวดล้อม (Enviromental Management System, EMS) มาตรฐาน ISO    | 
          
          
            | 14001ได้ประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยกำหนดเกณฑ์ในการจัดระบบสิ่งแวดล้อม | 
          
          
            | ขององค์กรและเป็นมาตรฐานฉบับเดียวในอนุกรม  ISO 14000  ที่ผู้ประกอบการ | 
          
          
            | สามารถขอการรับรองได้  มาตรฐาน ISO 14001ได้กำหนดให้องค์กรมีการจัดระบบ | 
          
          
            | การจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลัก  5 ประการคือ | 
          
          
          
            |   | 
            1. กำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม  โดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่ต้องมีความตั้งใจ | 
            
          
            | มุ่งมั่นในการจัดองค์กรของตนให้มีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานก่อนจึง | 
            
          
            | จะสามารถกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมขององค์กรเพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การปฏิบัติ | 
            
          
            | อย่างถูกต้อง | 
            
          
            |   | 
            2. การวางแผน  โดยผู้จัดโครงการสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมอบหมายจากผู้บริหาร | 
            
          
            | ระดับสูงให้เป็นผู้วางแผนกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการเพื่อปรับปรุง | 
            
          
            | และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรให้เป็นไปตามกฎหมายรวมทั้งจัดทำ | 
            
          
            | แผนปฏิบัติการในกรณีฉุกเฉิน | 
            
          
            |   | 
            3. การปฏิบัติ   โดยพนักงานทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามวิธีที่ | 
            
          
            | กำหนดเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายร่วมกัน  ซึ่งองค์กรต้องจัดอบรมและสร้างจิตสำนึก | 
            
          
            | ด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงานเพื่อให้ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการ | 
            
          
            | ประทำของตน | 
            
          
            |   | 
            4. การตรวจสอบแก้ไข   โดยผู้ตรวจประเมินเพื่อหาข้อบกพร่องในวิธีปฏิบัติและ | 
            
          
            | เสนอแนะให้มีการแก้ไข  เพื่อให้ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นไปตามข้อกำหนด | 
            
          
            | ของมาตรฐาน | 
            
          
            |   | 
            5. การพิจารณาทบทวน   โดยผู้บริหารที่พิจารณาผลการดำเนินงานของระบบการ | 
            
          
            | จัดการสิ่งแวดล้อมเป็นระยะ  ๆ เพื่อให้มีการปรับปรุงได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง | 
            
          
            |   | 
            การที่องค์กรสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐาน  ISO 14000 ได้ จะเป็น | 
            
          
            | การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ทำให้องค์กรทุกประเภทสามารถปรับปรุงระบบการ | 
            
          
            | ทำงานของตนให้ทันกับความต้องการของลูกค้าและเป็นไปตามข้อกำหนดของ | 
            
          
            | กฎหมาย  นำไปสู่การประหยัดทรัพยากรธรรมชาติและลดมลพิษที่แหล่งกำเนิดอันเป็น | 
            
          
            | การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน | 
            
          
            |   | 
              | 
              | 
              | 
          
          
            |   | 
              | 
              | 
              |