| คุณภาพของน้ำ | 
          
          
          
            |   | 
            น้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างปลอดภัยสามารถนำมาจากแหล่งน้ำทั้ง  3 ประเภท  | 
          
          
            ดังกล่าวโดยทั่วไปคุณสมบัติของน้ำบริสุทธิ์  ประกอบด้วยโมเลกุลของไฮโดรเจน  | 
            
          
            | และออกซิเจนที่อยู่ในรูปของของเหลว  (H2O) มีความใส โปร่งแสง ไม่มีรสชาติ ไม่มี  | 
            
          
          
            | กลิ่นถ้ามีปริมาณน้อยจะไม่มีสี  แต่ถ้ามีปริมาณมาก  หรือมีความลึกมากจะมองเห็น | 
          
          
            | เป็นสีฟ้าจาง ๆ น้ำบริสุทธิ์จะแข็งตัวที่  0 องศาเซลเซียส และมีจุดเดือดที่  100  | 
          
          
            | องศาเซลเซียส น้ำฝนจัดเป็นน้ำบริสุทธิ์แต่เมื่อนำฝนตกสู่พื้นโลกจะมีความ | 
          
          
            | สกปรกและมีสารปนเปื้อน  เพราะน้ำมีคุณสมบัติในการละลายสิ่งต่าง ๆ ได้ทุกชนิด | 
          
          
            | เช่น แก๊ส ของเหลว  หรือของแข็งต่างๆดังนั้นเมื่อน้ำไหลผ่านสิ่งใดย่อมจะล้างสารต่างๆ  | 
          
          
            | ปะปนไปด้วยทำให้คุณภาพของน้ำเปลี่ยนไปและอาจต้องมีการปรับปรุงน้ำให้มีคุณภาพ | 
          
          
            | ที่เหมาะสำหรับการอุปโภคบริโภคโดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คุณภาพของน้ำแบ่ง | 
          
          
            | ออกเป็นประเภทใหญ่  ๆ 3 ประเภทคือ | 
          
          
          
          
            |   | 
            1. คุณภาพของน้ำทางฟิสิกส์ หรือกายภาพ (Physical  Property) | 
          
          
            |   | 
            2.คุณภาพของน้ำทางเคมี (Chemical Property) | 
          
          
            |   | 
            3. คุณภาพของน้ำทางชีวภาพ  (Biological   Property) | 
          
          
            |   | 
            แต่ละประเภทมีคุณสมบัติ  ดังนี้ | 
          
          
            1.  | 
            คุณภาพของน้ำทางฟิสิกส์  หรือกายภาพ หมายถึง  ลักษณะความสกปรกในน้ำที่ | 
          
          
            ปรากฏและสามารถวิเคราะห์ได้โดยทางกายสัมผัส  เช่น ดูด้วยตา ดมกลิ่น และลิ้มรส  | 
            
          
            | คุณภาพของน้ำทางฟิสิกส์อาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องกรองน้ำ  | 
          
          
            | ระบบน้ำประปา  หรือระบบท่อน้ำในกิจการประปา คุณภาพทางฟิสิกส์ที่สำคัญ ได้แก่  | 
          
          
          
            |   | 
            1.1 ความขุ่น  ความขุ่นของน้ำเกิดจากสารแขวนลอยทั้งที่เป็นสารอินทรีย์และสาร | 
          
          
            | อนินทรีย์แขวนลอยในน้ำทำให้บดบังแสงจนไม่สามารถมองทะลุลงไปในระดับน้ำที่ลึก | 
            
          
            | ได้สะดวก สารแขวนลอยในน้ำประกอบด้วยดินละเอียด  แพลงตอน จุลินทรีย์ หรือโคลน | 
            
          
            | ตมต่าง  ๆ เป็นต้น ความขุ่นของน้ำมีความสำคัญต่อปัญหาสุขภาพด้านของน้ำดื่มน้ำใช้  | 
            
          
            เพราะมนุษย์มักนิยมดื่มน้ำที่สะอาด   | 
            
          
            |   | 
            1.2 สี   น้ำในธรรมชาติจะมีสีที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของสิ่งเจือปนในน้ำหรือ | 
          
          
            | สารแขวนลอยต่าง  ๆ สีของน้ำมี 2 ชนิด คือ | 
          
          
            |   | 
            1.2.1 สีปรากฏ  เป็นสีของน้ำที่เกิดจากสารที่ละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำและสีที่ | 
          
          
            | เกิดจากสารแขวนลอยในน้ำ  ซึ่งสามารถแยกออกได้ด้วยการกรองหรือตกตะกอน | 
            
          
            |   | 
            1.2.2 สีแท้  เป็นสีของสิ่งที่เกิดจากสารที่ละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำหลังจากการ | 
          
          
            | ตกตะกอนหรือใช้กระดาษกรองสีปรากฏของน้ำออกแล้ว  สิ่งที่เหลือจะเป็นสีแท้ | 
            
          
            |   | 
            น้ำที่มีสีชา  หรือน้ำตาล ปนเหลือง เป็นน้ำที่มีการหมักหมมทับถมของพืชใบไม้  | 
          
          
            | เศษวัสดุอินทรีย์ต่าง ๆ | 
          
          
          
            |   | 
            ส่วนน้ำที่มีสีชาหรือสีน้ำตาล  อาจเกิดจากการละลายธาตุเหล็ก แมงกานิส หรือ | 
          
          
            | แพลงตอน | 
            
          
            |   | 
            การเกิดสีของน้ำอาจเปลี่ยนไปตามการปนเปื้อนของโรงงานอุตสาหกรรมหรือน้ำ | 
          
          
            | ทิ้งจากบ้านเรือน | 
          
          
          
            |   | 
            สีของน้ำที่เกิดจากการสลายตัวของพืช  ใบไม้ ใบหญ้า ในธรรมชาติ ไม่มีอันตราย | 
          
          
            | ต่อการอุปโภคแต่ทำให้รู้สึกไม่ต้องการใช้น้ำดังกล่าว  เพราะดูเป็นน้ำสกปรกจึงต้อง | 
            
          
            | กำจัดสีของน้ำออกไปด้วยวิธีต่าง  ๆ  | 
            
          
            |   | 
            1.3 กลิ่น  น้ำที่มีกลิ่นมักเป็นน้ำซึ่งเกิดจากการย่อยสลายของอินทรีย์สารในน้ำที่ขาด | 
          
          
            | ออกซิเจนทำให้เกิดแก๊สไข่เน่า  (H2S) หรือมีการปนเปื้อนของน้ำทิ้งจากโรงงาน | 
            
          
            | อุตสาหกรรมรวมทั้งการใช้สารเคมีต่าง  ๆ ในน้ำ เช่น คลอรีน กลิ่นของน้ำมีส่วนทำให้ | 
            
          
            | น้ำไม่น่าดื่มน่าใช้  และอาจทำให้เกิดความรำคาญเมื่อสูดดมด้วย | 
            
          
            |   | 
            1.4 รสชาติ  รสของน้ำเกิดจากการละลายของเกลืออนินทรีย์ชนิดต่าง  ๆ เช่น เกลือ | 
          
          
            | ทองแดง  เกลือเหล็ก เกลือโซเดียม เป็นต้น รสชาติของน้ำสามารถสัมผัสด้ด้วยปุ่มโรส | 
            
          
            | ของลิ้นที่จำแนกได้ 4 รส คือ เปรี้ยว  หวาน   ขม และเค็ม  | 
            
          
            |   | 
            รสของน้ำอาจมีสาเหตุจากสิ่งต่าง  ๆ ดังนี้ | 
          
          
            |   | 
            1. น้ำมีเกลือละลายเป็นจำนวนมาก | 
          
          
            |   | 
            2. น้ำมีสารที่เป็นกรดหรือด่างป่นอยู่ | 
          
          
            |   | 
            3. น้ำมีสารประกอบของเหล็กอยู่ด้วย | 
          
          
            |   | 
            4. น้ำมีสารเคมีที่ใช้เพื่อการบำบัดมากเกินไป | 
          
          
            |   | 
            น้ำที่มีรสจะส่งผลต่อความรู้สึกไม่ดีในการอุปโภค  บริโภค เช่นเดียวกับกลิ่นของน้ำ | 
          
          
            |   | 
            1.5 อุณหภูมิ  โดยธรรมชาติน้ำจะมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงตามสภาพดิน ฟ้า | 
          
          
            | อากาศ แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่เกิดจากการปนเปื้อนของโรงงานต่าง  ๆ  | 
          
          
            | ทำให้มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำกว่าปกติ  จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในแหล่งน้ำ  | 
          
          
            | ์ซึ่งอาจก่อปัญหาหรือทำลายระบบนิเวศในธรรมชาติลงได้  | 
          
          
          
            2.  | 
            คุณภาพของน้ำทางเคมี หมายถึงลักษณะของสิ่งที่มีการละลายแร่ธาตุต่าง ๆ  | 
          
          
            | ปนอยู่และทำให้คุณภาพของน้ำเปลี่ยนแปลงไปจนไม่ปลอดภัยในการดื่มกินเนื่องจาก | 
          
          
            | สารบางชนิดอาจเป็นพิษต่อมนุษย์ได้  คุณสมบัติทางเคมีของน้ำที่สำคัญ ประกอบด้วย | 
          
          
            |   | 
            2.1 ความกระด้างของน้ำ  หมายถึงน้ำที่มีความกระด้างและเมื่อทำปฏิกิริยากับสบู่จะ | 
          
          
            | ทำให้เกิดฟองได้ยาก  ก่อให้เกิดตะกรันอุดตันในหม้อต้มน้ำ ท่อน้ำหรือภาชนะอื่น ๆ  | 
            
          
            | ที่ใช้ต้มน้ำในอุณหภูมิสูง  ๆ น้ำกระด้างทำให้เกิดปัญหาของการใช้ทั้งในชีวิตประจำวัน | 
            
          
            | ของมนุษย์  เช่น ทำให้สิ้นเปลืองสบู่ในการซักฟอก  เกิดคราบสกปรกเกาะติดตามภาชนะ | 
          
          
            | หรือทำให้รสชาติของน้ำ เปลี่ยนไป  ความกระด้างของน้ำเกิดจากการที่มีเกลือ | 
          
          
            | ไบคาร์บอเนตซัลเฟต  คลอไรด์ และไนเตรด ของธาตุแคลเซียมและแมกนีเซี่ยม | 
          
          
            | ละลายอยู่ในน้ำ  น้ำจะมีความกระด้างมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณและประเภท | 
          
          
            | ของเกลือดังกล่าว  โดยทั่วไปน้ำในธรรมชาติมีความกระด้างที่เกิดจากการ | 
          
          
            | ละลายของเกลือประเภทไบคาร์บอเนตและซัลเฟต ความกระด้างของน้ำสามารถ | 
          
          
            | แบ่งออกได้  2 ลักษณะคือ  | 
          
          
          
            |   | 
            2.1.1 ความกระด้างชั่วคราว  เป็นความกระด้างของน้ำที่เกิดจากเกลือคาร์บอเนต | 
          
          
            | และไบคาร์บอเนตของธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียมละลายอยู่  ซึ่งสามารถแก้ไข | 
            
          
            | ความกระด้างดังกล่าวได้ด้วยการต้มน้ำ  เพื่อให้แคลเซียมคาร์บอเนตตกตะกอน | 
            
          
            | ทำให้น้ำหายกระด้าง | 
            
          
            |   | 
            2.1.2 ความกระด้างถาวร  เป็นความกระด้างของน้ำที่เกิดจากเกลือซัลเฟตและคลอ | 
          
          
            | ไรต์ของธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม  ซึ่งต้องแก้ไขด้วยวิธีการทางเคมี เช่น การใช้  | 
          
          
            | ปูนขาวกับโซดาซักผ้า  ทำให้เกิดการตกตะกอน หรือใช้การแลกเปลี่ยนไอออนของธาตุ | 
          
          
            | ที่เป็นสาเหตุของความกระด้าง | 
            
          
            |   | 
            น้ำกระด้างส่งผลกระทบต่อสุขภาพเพราะเป็นสาเหตุของการเป็นนิ่วได้ | 
          
          
            |   | 
            เกณฑ์การพิจารณาลักษณะความกระด้างของน้ำที่เหมาะสมกับการดื่ม | 
          
          
            |   | 
              | 
          
          
             | 
            
          
            |   | 
            2.2 ค่าความเป็นกรด  – ด่างของน้ำ หรือค่าพีเอช (pH) เป็นค่าที่บอกลักษณะ | 
          
          
            | ความเป็นกลาง  เป็นกรด เป็นด่างของน้ำ น้ำที่มีลักษณะเป็นกรดจะมีค่า pH   ระหว่าง  | 
            
          
            | 1 – 6  ซึ่งสามารถละลายสารอินทรีย์และอนินทรีย์วัตถุได้  ส่วนน้ำที่มีลักษณะเป็นด่าง | 
            
          
            | มักมีเกลือของโซเดียมคาร์บอเนตละลายปนอยู่  จะมีค่า pH ระหว่าง 8.5 – 14  | 
          
          
            | สามารถทำให้เหล็กเป็นสนิมและหม้อน้ำผุกร่อน  น้ำที่ใช้ดื่มได้ดีที่สุดคือน้ำที่มีความ | 
          
          
            | เป็นกลางโดยมีค่า  pH ระหว่าง 5 – 8  ซึ่งน้ำในธรรมชาติปกติมีค่า pH ตั้งแต่ | 
            
          
            | 5.5 – 9.0 ค่าความเป็นกรด  เป็นด่างของน้ำทำให้รสชาติของน้ำไม่น่าบริโภค | 
            
          
            |   | 
            2.2.1 ความเป็นกรดของน้ำ  หมายถึง ปริมาณความจุที่ต้องใช้ด่างเข้มข้นในการทำ | 
          
          
            | ให้น้ำเป็นกลางซึ่งบ่งชี้ได้โดยค่า  pH ความเป็นกรดของน้ำมีสาเหตุการเกิดจากปัจจัย | 
          
          
            | ต่าง  ๆ เช่น | 
          
          
            |   | 
            1) เกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในอากาศละลายลงไปในน้ำ | 
          
          
            |   | 
            2) เกิดจากการหายใจของสิ่งมีชีวิตในน้ำ | 
          
          
            |   | 
            3) เกิดจากการสลายตัวของสารอินทรีย์วัตถุ  | 
          
          
            |   | 
            4) เกิดจากกรดของแร่บางประเภทในธรรมชาติ  เช่น กรดกำมะถัน กรดไน | 
          
          
            | ตริก  กรดคาร์บอนิค เป็นต้น | 
            
          
            |   | 
            น้ำที่มีค่า  pH ต่ำกว่า 8.5 จะมีค่าความเป็นกรด  ถ้าเป็นน้ำที่มีความเป็นกรดใน | 
          
          
            | ธรรมชาติสามารถนำมาบริโภคได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  แต่ถ้าเป็นกรดที่เกิด | 
          
          
            | จากแร่ธาตุตกค้างของโรงงานอุตสาหกรรม  หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ไม่ควรนำ | 
          
          
            | มาบริโภคเพราะมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนสูง  อาจกัดทำลายกระเพาะอาหารหรือทางเดิน | 
          
          
            | อาหารได้ | 
            
          
            |   | 
            2.2.2 ความเป็นด่างของน้ำ  หมายถึง   ปริมาณความจุที่ต้องใช้กรดเข้มข้นใน | 
          
          
            | การทำให้น้ำเป็นกลางซึ่งบ่งชี้ได้โดยค่า  pH ความเป็นด่างของน้ำมีสาเหตุมาจากการ | 
          
          
            | ละลายของเกลือคาร์บอเนต  ไบคาร์บอเนต และไฮดรอกไซด์ของธาตุต่าง ๆ น้ำที่มีความ | 
          
          
            | เป็นด่างสูง  จะทำให้รสชาติของน้ำไม่น่าบริโภค  เพราะมีรสกร่อยหรือฝาดมาก  อาจทำ | 
          
          
            | ให้ผิวหนังระคายเคือง  หรือถ้านำไปรดต้นไม้บางชนิด  เช่น กล้วยไม้จะทำให้ตายได้ | 
            
          
            |   | 
            2.3 ออกซิเจนที่ละลายในน้ำ  น้ำที่มีปริมาณออกซิเจนละลายอยู่จะช่วยให้น้ำมี | 
          
          
            | รสชาติดีขึ้น  ถ้าน้ำไม่มีออกซิเจนละลายอยู่เลย จะทำให้มีรสปร่า ปริมาณของออกซิเจน | 
            
          
            | ในน้ำจะช่วยกำจัด มลพิษต่าง  ๆ ที่อยู่ในน้ำเพราะมีการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น | 
          
          
            | (Oxidation) ทำให้ช่วยลดอินทรีย์สาร และแบคทีเรียในน้ำได้  น้ำสกปรกที่มีแบคทีเรีย | 
          
          
            | จำนวนมากจะทำให้ออกซิเจนในน้ำมีปริมาณลดลงพราะแบคทีเรียจะใช้ออกซิเจน | 
          
          
            | ในการดำรงชีวิต ปริมาณของออกซิเจนเป็นเครื่องวัดสภาวะของน้ำผิวดินได้เป็นอย่างดี | 
          
          
            |   | 
            2.4เหล็กและแมงกานิส  เป็นธาตุที่มีในน้ำธรรมชาติ แหล่งที่อยู่ในน้ำจะมี 2   | 
          
          
            | แบบคือเป็นเฟอรัสที่มีวาเลนซี  2 จะละลายน้ำได้ดี ถ้าเหล็กอยู่ในรูปของเฟอริคที่มี | 
            
          
            | วาเลนซี  3 จะไม่ละลายน้ำ  โดยทั่วไปเหล็กที่อยู่ในน้ำจะอยู่ทั้งสองรูปคือเป็นทั้งเฟอริค | 
          
          
            | และเฟอรัสไอออนเฟอรัสเมื่อพบกับออกซิเจนในอากาศจะทำปฏิกิริยากลายเป็นเฟอริค  | 
          
          
            | ซึ่งเรียกว่าถูกออกซิไดซ์และตกตะกอนติดเป็นครอบตามภาชนะต่าง  ๆ น้ำที่มีเหล็กและ | 
          
          
            | แมงกานีสปะปนอยู่มากจะทำให้มีรสหวานปนขมไม่น่าดื่มการดื่มน้ำที่มีเหล็กมากเกิน | 
          
          
            | ไปร่างกายจะนำเหล็กไปสะสมไว้ที่ตับและทำให้เกิดโรคตับได้  ถ้านำมาใช้ซักเสื้อผ้า | 
          
          
            | จะทำให้เกิดคราบเหลือง  เครื่องสุขภัณฑ์หรือเครื่องใช้เป็นครายสนิมเหล็กและมี | 
          
          
            | การอุดตันในท่อน้ำ  คราบของเหล็กที่ติดตามเสื้อ ภาชนะ หรือเครื่องใช้ต่าง ๆ จะมี | 
          
          
            | สีเหลือง  หรือเหลืองเข้มจนเป็นสีดำ  ถ้าคราบน้ำที่มีธาตุเหล็กอย่างเดียวคราบ จะเป็น  | 
          
          
            | สีน้ำตาลแดง  จนเป็นสีสนิมเหล็ก  ส่วนคราบที่มีแมงกานิสมากจะเป็นสีดำ | 
          
          
            |   | 
            2.5 ฟลูออไรด์  เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ การดื่มน้ำที่มีฟลูออไรด์อยู่ระหว่าง | 
          
          
            | 1 มิลลิกรัมต่อลิตรจะทำให้อีนาเมลซึ่งเป็นส่วนที่หุ้มฟันชั้นนอกสุดมีความแข็งและช่วย | 
          
          
            | ป้องกันฟันผุได้ดี  แต่ถ้าน้ำที่ดื่มมีฟลูออไรด์ ปริมาณมาก ๆ ะทำให้ฟันเกิดคราบดำ  และ  | 
          
          
            | ถ้าร่างกายได้รับฟลูออไรด์น้อยเกินไปจะทำให้เป็นโรคฟันเปราะหรือหักง่าย | 
          
          
          
            |   | 
            2.6 คลอไรด์  เป็นสารละลายน้ำในธรรมชาติที่มีมากในน้ำผิวดินใกล้ปากน้ำ น้ำที่มี | 
          
          
            | คลอไรด์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าน้ำจะไหล่ผ่านพื้นดิน  หรือชั้นดินที่มีปริมาณคลอไรด์ | 
          
          
            | อยู่มากน้อยเท่าใด  น้ำในธรรมชาติรับคลอไรด์ได้หลายทางเช่น ละลายจากผิวดิน | 
          
          
            | เป็นละอองที่พัดมาจากมหาสมุทร  มากับน้ำทะเลที่ไหลปะปนกับน้ำจืดตอนน้ำขึ้นจาก | 
          
          
            | ปัสสาวะหรือเหงื่อของมนุษย์และน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิดที่มีคลอไรด์ | 
          
          
            | อยู่มาก น้ำที่มีคลอไรด์ปะปนอยู่เกิน  700 มิลลิกรัมต่อลิตร  จะกลายเป็นสีดำ คลอไรด์ | 
          
          
            | ในน้ำจะทำให้มีรสกร่อยเค็มไม่น่าดื่ม  ความสำคัญของคลอไรด์ในอดีต  จะใช้เป็นตัวชี้ | 
          
          
            | ความสกปรกของแหล่งน้ำว่ามีการปนเปื้อนเพียงใด | 
          
          
            |   | 
            2.7 ซัลเฟต  เป็นธาตุที่เกิดในน้ำธรรมชาติ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของความกระด้างถาวร | 
          
          
            | หรือเกิดเป็นเกลือของธาตุอื่นๆ เช่น โซเดียม โพแทสเซียมเป็นต้น น้ำที่มีซัลเฟสมากๆ  | 
          
          
            | จะทำให้เกิดตะกรันแข็งที่หม้อต้มน้ำ  และเกิดกลิ่นเหม็นจากการรวมตัวของแบคทีเรีย | 
          
          
            | บางชนิด  การดื่มน้ำที่มีซัลเฟตในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการคล้ายการกินยาถ่ายได้ | 
          
          
            |   | 
            2.8 ตะกั่ว  เป็นธาตุที่เกิดจากการที่น้ำไหลในท่อเหล็กหรือมีส่วนผสมของเหล็ก | 
          
          
            | รวมทั้งท่อไอเสียจากรถยนต์  การใช้สีตะกั่ว สีผสมตะกั่ว ยาฆ่าแมลงในการเกษตร  | 
          
          
            | เครื่องสำอาง  เป็นต้น  น้ำที่มีตะกั่วผสมอยู่จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพเพราะเกิด | 
          
          
            | การสะสมจนกลายเป็นโรคพิษของตะกั่วซึ่งทำลายสมองและระบบประสาท | 
          
          
            |   | 
            2.9 ทองแดง  เป็นธาตุที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท การกัดกร่อน  | 
          
          
            | ท่อน้ำหรือภาชนะที่ทำด้วยทองแดง  ทองเหลือง รวมทั้งการใช้สารจุนสีในการทำลาย | 
          
          
            | สาหร่ายในน้ำ ทองแดงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตเพราะมนุษย์ต้องการบริโภคทองแดงจาก | 
          
          
            | อาหารเฉลี่ยวันละประมาณ  2 มิลลิกรัม  เพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง แต่ถ้าทองแดงมี | 
          
          
            | ปริมาณมาก ๆ จะทำให้น้ำมีรสขม  และเกิดรอยด่างติดตามภาชนะกระเบื้องเคลือบ | 
          
          
          
            |   | 
            2.10 สังกะสี  น้ำผิวดินธรรมชาติมักมีสังกะสีละลายอยู่   ซึ่งเกิดจากการกัดกร่อน | 
          
          
            | ท่อน้ำหรือภาชนะที่ทำด้วยทองแดง  เหล็กอาบสังกะสี ยางรถยนต์ เป็นต้น สังกะสีเป็น | 
          
          
            | ธาตุที่ร่างกายต้องการเพราะช่วยป้องกันโรคแคระแกรนและความบกพร่องในการ | 
          
          
            | เจริญเติบโตของร่างกาย  แต่ถ้าน้ำมีปริมาณสังกะสีตั้งแต่  0.5 มิลลิกรัมต่อลิตรจะทำ | 
          
          
            | ให้ผิวน้ำเป็นคราบน้ำมัน  และถ้ามีปริมาณสังกะสี  5 มิลลิกรัมต่อลิตรจะทำให้น้ำมีรสขม  | 
          
          
            | ถ้ามีสังกะสีปริมาณ  25 – 40 มิลลิกรัมต่อลิตร จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้  อาเจียน | 
          
          
            |   | 
            2.11 ไนไตรต์  เป็นธาตุที่เกิดจากปฏิกิริยาชีวเคมีของจุลินทรีย์ที่มีการออกซิเดชั่น | 
          
          
            | ของแอมโมเนียก่อนจะกลายเป็นไนเตรต  น้ำที่มีไนไตรต์ละลายอยู่เป็นสิ่งแสดงว่ามีการ | 
          
          
            | ปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกที่มีอินทรีย์สารประกอบ  การดื่มน้ำที่มีปริมาณไนไตรต์เกินกว่า | 
          
          
            | 1  มิลลิกรัมต่อลิตร จะทำให้เด็กทารกมีภาวะผิวหนังเป็นสีเขียวหรือน้ำเงิน  เนื่องจาก | 
          
          
            | ขาดเลือดและออกซิเจน  ซึ่งอาจถึงตายได้ โดยเฉพาะทารกที่มีอายุต่ำกว่า  3 เดือน | 
            
          
            |   | 
            2.12 ไนเตรต  เป็นธาตุที่เกิดจากพืชหรือสัตว์น้ำ ที่มีสารอินทรีย์ไนโตรเจนเป็น | 
          
          
            | องค์ประกอบ  หรืออาจเกิดจากการปนเปื้อนของสิ่งสกปรก น้ำที่มีไนเตรตละลายอยู่มาก | 
          
          
            | จะเป็นตัวชี้ความสกปรกของน้ำ  และทำให้เกิดโรคในเด็กทารกช่นเดียวกับไนไตรต์  | 
          
          
            | เแต่จะช่วยให้สาหร่ายหรือพืชในน้ำเจริญเติบโตได้ดี | 
          
          
            |   | 
            2.13 สารหนู  เป็นธาตุที่ได้จากการที่น้ำไหลผ่านชั้นดินหรือพื้นที่มีสารหนูรวมทั้ง | 
          
          
            | การตกค้างจากการใช้ยาฆ่าศัตรูพืช  สัตว์ ปุ๋ย ผงซักฟอก ที่มีสารหนูประกอบอาหาร  | 
          
          
            | ทะเลบางชนิด  และจากโรงงานอุตสาหกรรม  สารหนูเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง | 
          
          
            | จึงไม่ควรดื่มน้ำที่มีสารหนูละลายอยู่ในปริมาณที่มากกว่า  0.05  มิลลิกรัมต่อลิตร | 
          
          
            3.  | 
            คุณภาพของน้ำทางชีวภาพ  หมายถึง   ลักษณะของน้ำที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในน้ำ | 
          
          
            | เช่น จุลินทรีย์  แพลงตอน พืชน้ำ และสัตว์น้ำ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะช่วยทำลายสิ่งสกปรก | 
          
          
            | ในน้ำและนำมาใช้เป็นอาหารได้  ส่วนน้ำที่นำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคอาจมีจุลินทรีย์ | 
          
          
            | ปนเปื้อนอยู่  จุลินทรีย์บางชนิด เช่น ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตรชัว และหนอนพยาธิ  ทำให้ | 
          
          
            | เกิดโรคต่อมนุษย์ กล่าวคือ | 
          
          
          
            
  | 
          
          
            |   | 
            3.1 ไวรัส  เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นต้องใช้กล้อง | 
          
          
          
            | จุลทรรศน์อิเล็คตรอนที่มีกำลังขยายพิเศษในการช่วยดู  ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคแก่มนุษย | 
          
          
            | ์  เช่น โรคตับอักเสบชนิด  เอ หรือทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงในเด็ก | 
          
          
            |   | 
            3.2 แบคทีเรีย  เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าไวรัส สามารถใช้กล้องจุลทรรศน์ | 
          
          
            | ธรรมดาขนาดกำลังขยาย  100 เท่าก็มองเห็นได้ เป็นสัตว์เซลล์เดียว พบได้ในพื้นที่ | 
          
          
            | บางแห่งโดยเฉพาะที่ชื้น  แบคทีเรียมีรูปร่าง 3 แบบ คือ รูปร่างกลมรูปร่างเป็นแท่ง  และ  | 
          
          
            | รูปร่างเป็นเกลียว แบคทีเรียทำให้เกิดโรคที่มีน้ำเป็นตัวนำ  เช่น อหิวาตกโรค | 
          
          
            | ไข้โรคสาด โรคบิด เป็นต้น  | 
          
          
            
  | 
            
          
          
            | 1113.3 โปรโตชัว  เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าแบคทีเรีย  แต่ไม่สามารถ | 
          
          
            | มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ดู  เป็นสัตว์เซลล์เดียว อาศัยในน้ำที่มี | 
          
          
            | ออกซิเจน  โปรโตชัวบางชนิด  ทำให้เกิดโรคเช่นโรคบิดชนิดอมีบา หรือโรคจิอาร์เดีย | 
          
          
            | ที่ทำให้ท้องร่วง ปวดท้อง  เกร็งท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว  ปวดเมื่อยเนื้อตัว คลื่นไส้ | 
          
          
            | เป็นต้น | 
            
          
            |   | 
            3.4 หนอนพยาธิ  เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าจุลินทรีย์ชนิดอื่น ๆ มีลักษณะ | 
          
          
            | ใกล้เคียงกับสัตว์มากกว่าพืช  รูปร่างคล้ายหนอน  จัดเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทปรสิต | 
          
          
            | เพราะต้องอาศัยอยู่บนหรือในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอื่น  ๆ หนอนพยาธิมี 3 ประเภท คือ  | 
          
          
            | พยาธิตัวกลม  พยาธิตัวแบบ และพยาธิใบไม้  ซึ่งทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น | 
          
          
            |   | 
            3.4.1 โรคพยาธิไส้เดือนกลม  ทำให้เกิดอาการปวดท้อง น้ำหนักลดอ่อนเพลีย ถ้า | 
          
          
            | พยาธิไปอุดตันอวัยวะสำคัญของร่างกาย  เช่น ท่อน้ำดีจะทำให้มีอาการแทรกซ้อนของ | 
            
          
            | โรคดีซ่าน | 
            
          
            |   | 
            3.4.2 โรคพยาธิเข็มหมุด  เกิดจากพยาธิตัวกลม  ที่ทำให้มีอาการซูบซีด | 
          
          
            | ร่างกายผอมอ่อนเพลีย  | 
            
          
            |   | 
            3.4.3 โรคพยาธิใบไม้ปอด  เกิดจากพยาธิใบไม้หรือตัวแก่ของพยาธิอาศัยอยู่ใน | 
          
          
            | ปอดของคนทำให้มีอาการไอเรื้อรัง  มีเลือดปนเสมหะ เจ็บปวดหน้าอก | 
            
          
            |   | 
            คุณภาพทางกายภาพ  เช่น   ความขุ่น สี กลิ่น รสชาติ มีผลทำให้บริโภคได้น้อย | 
          
          
            | เพราะไม่น่าดื่มกิน | 
            
          
            |   | 
            คุณภาพทางเคมี  เช่น ความเป็นกรด ด่าง ความกระด้าง และมีธาตุต่างๆ เจือปน | 
          
          
            | จะทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบประสาท  โรคฟันเปราะ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มะเร็ง | 
            
          
            | และเกิดการอุดตันของท่อน้ำ  รวมทั้งเกิดความสกปรกติดภาชนะเครื่องใช้และเสื้อผ้า | 
            
          
            |   | 
            คุณภาพทางชีวภาพ  เช่น ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตชัว หนอนพยาธิ  ทำให้เกิดโรค | 
          
          
            | เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร  อหิวาตกโรค โรคตับอักเสบ บิด ไข้รากสาด และ | 
            
          
            | โรคทางพยาธ | 
            
          
          
            |   | 
            ดังนั้นการใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพมาตรฐานย่อมทำให้ร่างกายแข็งแรง | 
            
          
            | ปราศจากโรคต่าง ๆ  | 
          
          
               | 
            
          
             | 
            
          
            |   | 
              | 
              | 
              |