คุณภาพของน้ำ
  น้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างปลอดภัยสามารถนำมาจากแหล่งน้ำทั้ง 3 ประเภท
ดังกล่าวโดยทั่วไปคุณสมบัติของน้ำบริสุทธิ์ ประกอบด้วยโมเลกุลของไฮโดรเจน
และออกซิเจนที่อยู่ในรูปของของเหลว (H2O) มีความใส โปร่งแสง ไม่มีรสชาติ ไม่มี
กลิ่นถ้ามีปริมาณน้อยจะไม่มีสี แต่ถ้ามีปริมาณมาก หรือมีความลึกมากจะมองเห็น
เป็นสีฟ้าจาง ๆ น้ำบริสุทธิ์จะแข็งตัวที่ 0 องศาเซลเซียส และมีจุดเดือดที่  100 
องศาเซลเซียส น้ำฝนจัดเป็นน้ำบริสุทธิ์แต่เมื่อนำฝนตกสู่พื้นโลกจะมีความ
สกปรกและมีสารปนเปื้อน เพราะน้ำมีคุณสมบัติในการละลายสิ่งต่าง ๆ ได้ทุกชนิด
เช่น แก๊ส ของเหลว หรือของแข็งต่างๆดังนั้นเมื่อน้ำไหลผ่านสิ่งใดย่อมจะล้างสารต่างๆ
ปะปนไปด้วยทำให้คุณภาพของน้ำเปลี่ยนไปและอาจต้องมีการปรับปรุงน้ำให้มีคุณภาพ
ที่เหมาะสำหรับการอุปโภคบริโภคโดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คุณภาพของน้ำแบ่ง
ออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ 3 ประเภทคือ
  1. คุณภาพของน้ำทางฟิสิกส์ หรือกายภาพ (Physical  Property)
  2.คุณภาพของน้ำทางเคมี (Chemical Property)
  3. คุณภาพของน้ำทางชีวภาพ (Biological  Property)
  แต่ละประเภทมีคุณสมบัติ ดังนี้
1.
คุณภาพของน้ำทางฟิสิกส์ หรือกายภาพ หมายถึง ลักษณะความสกปรกในน้ำที่
ปรากฏและสามารถวิเคราะห์ได้โดยทางกายสัมผัส เช่น ดูด้วยตา ดมกลิ่น และลิ้มรส
คุณภาพของน้ำทางฟิสิกส์อาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องกรองน้ำ
ระบบน้ำประปา หรือระบบท่อน้ำในกิจการประปา คุณภาพทางฟิสิกส์ที่สำคัญ ได้แก่
  1.1 ความขุ่น ความขุ่นของน้ำเกิดจากสารแขวนลอยทั้งที่เป็นสารอินทรีย์และสาร
อนินทรีย์แขวนลอยในน้ำทำให้บดบังแสงจนไม่สามารถมองทะลุลงไปในระดับน้ำที่ลึก
ได้สะดวก สารแขวนลอยในน้ำประกอบด้วยดินละเอียด แพลงตอน จุลินทรีย์ หรือโคลน
ตมต่าง ๆ เป็นต้น ความขุ่นของน้ำมีความสำคัญต่อปัญหาสุขภาพด้านของน้ำดื่มน้ำใช้
เพราะมนุษย์มักนิยมดื่มน้ำที่สะอาด
  1.2 สี  น้ำในธรรมชาติจะมีสีที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของสิ่งเจือปนในน้ำหรือ
สารแขวนลอยต่าง ๆ สีของน้ำมี 2 ชนิด คือ
  1.2.1 สีปรากฏ เป็นสีของน้ำที่เกิดจากสารที่ละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำและสีที่
เกิดจากสารแขวนลอยในน้ำ ซึ่งสามารถแยกออกได้ด้วยการกรองหรือตกตะกอน
  1.2.2 สีแท้  เป็นสีของสิ่งที่เกิดจากสารที่ละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำหลังจากการ
ตกตะกอนหรือใช้กระดาษกรองสีปรากฏของน้ำออกแล้ว สิ่งที่เหลือจะเป็นสีแท้
  น้ำที่มีสีชา หรือน้ำตาล ปนเหลือง เป็นน้ำที่มีการหมักหมมทับถมของพืชใบไม้
เศษวัสดุอินทรีย์ต่าง ๆ
  ส่วนน้ำที่มีสีชาหรือสีน้ำตาล อาจเกิดจากการละลายธาตุเหล็ก แมงกานิส หรือ
แพลงตอน
  การเกิดสีของน้ำอาจเปลี่ยนไปตามการปนเปื้อนของโรงงานอุตสาหกรรมหรือน้ำ
ทิ้งจากบ้านเรือน
  สีของน้ำที่เกิดจากการสลายตัวของพืช ใบไม้ ใบหญ้า ในธรรมชาติ ไม่มีอันตราย
ต่อการอุปโภคแต่ทำให้รู้สึกไม่ต้องการใช้น้ำดังกล่าว เพราะดูเป็นน้ำสกปรกจึงต้อง
กำจัดสีของน้ำออกไปด้วยวิธีต่าง ๆ
  1.3 กลิ่น น้ำที่มีกลิ่นมักเป็นน้ำซึ่งเกิดจากการย่อยสลายของอินทรีย์สารในน้ำที่ขาด
ออกซิเจนทำให้เกิดแก๊สไข่เน่า (H2S) หรือมีการปนเปื้อนของน้ำทิ้งจากโรงงาน
อุตสาหกรรมรวมทั้งการใช้สารเคมีต่าง ๆ ในน้ำ เช่น คลอรีน กลิ่นของน้ำมีส่วนทำให้
น้ำไม่น่าดื่มน่าใช้ และอาจทำให้เกิดความรำคาญเมื่อสูดดมด้วย
  1.4 รสชาติ  รสของน้ำเกิดจากการละลายของเกลืออนินทรีย์ชนิดต่าง ๆ เช่น เกลือ
ทองแดง เกลือเหล็ก เกลือโซเดียม เป็นต้น รสชาติของน้ำสามารถสัมผัสด้ด้วยปุ่มโรส
ของลิ้นที่จำแนกได้ 4 รส คือ เปรี้ยว  หวาน  ขม และเค็ม
  รสของน้ำอาจมีสาเหตุจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
  1. น้ำมีเกลือละลายเป็นจำนวนมาก
  2. น้ำมีสารที่เป็นกรดหรือด่างป่นอยู่
  3. น้ำมีสารประกอบของเหล็กอยู่ด้วย
  4. น้ำมีสารเคมีที่ใช้เพื่อการบำบัดมากเกินไป
  น้ำที่มีรสจะส่งผลต่อความรู้สึกไม่ดีในการอุปโภค บริโภค เช่นเดียวกับกลิ่นของน้ำ
  1.5 อุณหภูมิ โดยธรรมชาติน้ำจะมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงตามสภาพดิน ฟ้า
อากาศ แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่เกิดจากการปนเปื้อนของโรงงานต่าง ๆ
ทำให้มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำกว่าปกติ จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในแหล่งน้ำ
์ซึ่งอาจก่อปัญหาหรือทำลายระบบนิเวศในธรรมชาติลงได้
2.
คุณภาพของน้ำทางเคมี หมายถึงลักษณะของสิ่งที่มีการละลายแร่ธาตุต่าง ๆ
ปนอยู่และทำให้คุณภาพของน้ำเปลี่ยนแปลงไปจนไม่ปลอดภัยในการดื่มกินเนื่องจาก
สารบางชนิดอาจเป็นพิษต่อมนุษย์ได้ คุณสมบัติทางเคมีของน้ำที่สำคัญ ประกอบด้วย
  2.1 ความกระด้างของน้ำ หมายถึงน้ำที่มีความกระด้างและเมื่อทำปฏิกิริยากับสบู่จะ
ทำให้เกิดฟองได้ยาก ก่อให้เกิดตะกรันอุดตันในหม้อต้มน้ำ ท่อน้ำหรือภาชนะอื่น ๆ
ที่ใช้ต้มน้ำในอุณหภูมิสูง ๆ น้ำกระด้างทำให้เกิดปัญหาของการใช้ทั้งในชีวิตประจำวัน
ของมนุษย์ เช่น ทำให้สิ้นเปลืองสบู่ในการซักฟอก เกิดคราบสกปรกเกาะติดตามภาชนะ
หรือทำให้รสชาติของน้ำ เปลี่ยนไป ความกระด้างของน้ำเกิดจากการที่มีเกลือ
ไบคาร์บอเนตซัลเฟต คลอไรด์ และไนเตรด ของธาตุแคลเซียมและแมกนีเซี่ยม
ละลายอยู่ในน้ำ น้ำจะมีความกระด้างมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณและประเภท
ของเกลือดังกล่าว โดยทั่วไปน้ำในธรรมชาติมีความกระด้างที่เกิดจากการ
ละลายของเกลือประเภทไบคาร์บอเนตและซัลเฟต ความกระด้างของน้ำสามารถ
แบ่งออกได้ 2 ลักษณะคือ
  2.1.1 ความกระด้างชั่วคราว เป็นความกระด้างของน้ำที่เกิดจากเกลือคาร์บอเนต
และไบคาร์บอเนตของธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียมละลายอยู่  ซึ่งสามารถแก้ไข
ความกระด้างดังกล่าวได้ด้วยการต้มน้ำ  เพื่อให้แคลเซียมคาร์บอเนตตกตะกอน
ทำให้น้ำหายกระด้าง
  2.1.2 ความกระด้างถาวร เป็นความกระด้างของน้ำที่เกิดจากเกลือซัลเฟตและคลอ
ไรต์ของธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งต้องแก้ไขด้วยวิธีการทางเคมี เช่น การใช้
ปูนขาวกับโซดาซักผ้า ทำให้เกิดการตกตะกอน หรือใช้การแลกเปลี่ยนไอออนของธาตุ
ที่เป็นสาเหตุของความกระด้าง
  น้ำกระด้างส่งผลกระทบต่อสุขภาพเพราะเป็นสาเหตุของการเป็นนิ่วได้
  เกณฑ์การพิจารณาลักษณะความกระด้างของน้ำที่เหมาะสมกับการดื่ม
   
  2.2 ค่าความเป็นกรด – ด่างของน้ำ หรือค่าพีเอช (pH) เป็นค่าที่บอกลักษณะ
ความเป็นกลาง เป็นกรด เป็นด่างของน้ำ น้ำที่มีลักษณะเป็นกรดจะมีค่า pH  ระหว่าง
1 – 6 ซึ่งสามารถละลายสารอินทรีย์และอนินทรีย์วัตถุได้  ส่วนน้ำที่มีลักษณะเป็นด่าง
มักมีเกลือของโซเดียมคาร์บอเนตละลายปนอยู่ จะมีค่า pH ระหว่าง 8.5 – 14
สามารถทำให้เหล็กเป็นสนิมและหม้อน้ำผุกร่อน น้ำที่ใช้ดื่มได้ดีที่สุดคือน้ำที่มีความ
เป็นกลางโดยมีค่า pH ระหว่าง 5 – 8 ซึ่งน้ำในธรรมชาติปกติมีค่า pH ตั้งแต่
5.5 – 9.0 ค่าความเป็นกรด  เป็นด่างของน้ำทำให้รสชาติของน้ำไม่น่าบริโภค
  2.2.1 ความเป็นกรดของน้ำ หมายถึง ปริมาณความจุที่ต้องใช้ด่างเข้มข้นในการทำ
ให้น้ำเป็นกลางซึ่งบ่งชี้ได้โดยค่า pH ความเป็นกรดของน้ำมีสาเหตุการเกิดจากปัจจัย
ต่าง ๆ เช่น
  1) เกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในอากาศละลายลงไปในน้ำ
  2) เกิดจากการหายใจของสิ่งมีชีวิตในน้ำ
  3) เกิดจากการสลายตัวของสารอินทรีย์วัตถุ
  4) เกิดจากกรดของแร่บางประเภทในธรรมชาติ เช่น กรดกำมะถัน กรดไน
ตริก กรดคาร์บอนิค เป็นต้น
  น้ำที่มีค่า pH ต่ำกว่า 8.5 จะมีค่าความเป็นกรด ถ้าเป็นน้ำที่มีความเป็นกรดใน
ธรรมชาติสามารถนำมาบริโภคได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้าเป็นกรดที่เกิด
จากแร่ธาตุตกค้างของโรงงานอุตสาหกรรม หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ไม่ควรนำ
มาบริโภคเพราะมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนสูง อาจกัดทำลายกระเพาะอาหารหรือทางเดิน
อาหารได้
  2.2.2 ความเป็นด่างของน้ำ หมายถึง  ปริมาณความจุที่ต้องใช้กรดเข้มข้นใน
การทำให้น้ำเป็นกลางซึ่งบ่งชี้ได้โดยค่า pH ความเป็นด่างของน้ำมีสาเหตุมาจากการ
ละลายของเกลือคาร์บอเนต ไบคาร์บอเนต และไฮดรอกไซด์ของธาตุต่าง ๆ น้ำที่มีความ
เป็นด่างสูง จะทำให้รสชาติของน้ำไม่น่าบริโภค เพราะมีรสกร่อยหรือฝาดมาก อาจทำ
ให้ผิวหนังระคายเคือง หรือถ้านำไปรดต้นไม้บางชนิด เช่น กล้วยไม้จะทำให้ตายได้
  2.3 ออกซิเจนที่ละลายในน้ำ น้ำที่มีปริมาณออกซิเจนละลายอยู่จะช่วยให้น้ำมี
รสชาติดีขึ้น ถ้าน้ำไม่มีออกซิเจนละลายอยู่เลย จะทำให้มีรสปร่า ปริมาณของออกซิเจน
ในน้ำจะช่วยกำจัด มลพิษต่าง ๆ ที่อยู่ในน้ำเพราะมีการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น
(Oxidation) ทำให้ช่วยลดอินทรีย์สาร และแบคทีเรียในน้ำได้ น้ำสกปรกที่มีแบคทีเรีย
จำนวนมากจะทำให้ออกซิเจนในน้ำมีปริมาณลดลงพราะแบคทีเรียจะใช้ออกซิเจน
ในการดำรงชีวิต ปริมาณของออกซิเจนเป็นเครื่องวัดสภาวะของน้ำผิวดินได้เป็นอย่างดี
  2.4เหล็กและแมงกานิส เป็นธาตุที่มีในน้ำธรรมชาติ แหล่งที่อยู่ในน้ำจะมี 2
แบบคือเป็นเฟอรัสที่มีวาเลนซี 2 จะละลายน้ำได้ดี ถ้าเหล็กอยู่ในรูปของเฟอริคที่มี
วาเลนซี 3 จะไม่ละลายน้ำ โดยทั่วไปเหล็กที่อยู่ในน้ำจะอยู่ทั้งสองรูปคือเป็นทั้งเฟอริค
และเฟอรัสไอออนเฟอรัสเมื่อพบกับออกซิเจนในอากาศจะทำปฏิกิริยากลายเป็นเฟอริค
ซึ่งเรียกว่าถูกออกซิไดซ์และตกตะกอนติดเป็นครอบตามภาชนะต่าง ๆ น้ำที่มีเหล็กและ
แมงกานีสปะปนอยู่มากจะทำให้มีรสหวานปนขมไม่น่าดื่มการดื่มน้ำที่มีเหล็กมากเกิน
ไปร่างกายจะนำเหล็กไปสะสมไว้ที่ตับและทำให้เกิดโรคตับได้ ถ้านำมาใช้ซักเสื้อผ้า
จะทำให้เกิดคราบเหลือง เครื่องสุขภัณฑ์หรือเครื่องใช้เป็นครายสนิมเหล็กและมี
การอุดตันในท่อน้ำ คราบของเหล็กที่ติดตามเสื้อ ภาชนะ หรือเครื่องใช้ต่าง ๆ จะมี
สีเหลือง หรือเหลืองเข้มจนเป็นสีดำ  ถ้าคราบน้ำที่มีธาตุเหล็กอย่างเดียวคราบ จะเป็น
สีน้ำตาลแดง จนเป็นสีสนิมเหล็ก ส่วนคราบที่มีแมงกานิสมากจะเป็นสีดำ
  2.5 ฟลูออไรด์ เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ การดื่มน้ำที่มีฟลูออไรด์อยู่ระหว่าง
1 มิลลิกรัมต่อลิตรจะทำให้อีนาเมลซึ่งเป็นส่วนที่หุ้มฟันชั้นนอกสุดมีความแข็งและช่วย
ป้องกันฟันผุได้ดี แต่ถ้าน้ำที่ดื่มมีฟลูออไรด์ ปริมาณมาก ๆ ะทำให้ฟันเกิดคราบดำ และ 
ถ้าร่างกายได้รับฟลูออไรด์น้อยเกินไปจะทำให้เป็นโรคฟันเปราะหรือหักง่าย
  2.6 คลอไรด์ เป็นสารละลายน้ำในธรรมชาติที่มีมากในน้ำผิวดินใกล้ปากน้ำ น้ำที่มี
คลอไรด์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าน้ำจะไหล่ผ่านพื้นดิน หรือชั้นดินที่มีปริมาณคลอไรด์
อยู่มากน้อยเท่าใด น้ำในธรรมชาติรับคลอไรด์ได้หลายทางเช่น ละลายจากผิวดิน
เป็นละอองที่พัดมาจากมหาสมุทร มากับน้ำทะเลที่ไหลปะปนกับน้ำจืดตอนน้ำขึ้นจาก
ปัสสาวะหรือเหงื่อของมนุษย์และน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิดที่มีคลอไรด์
อยู่มาก น้ำที่มีคลอไรด์ปะปนอยู่เกิน 700 มิลลิกรัมต่อลิตร จะกลายเป็นสีดำ คลอไรด์
ในน้ำจะทำให้มีรสกร่อยเค็มไม่น่าดื่ม ความสำคัญของคลอไรด์ในอดีต จะใช้เป็นตัวชี้
ความสกปรกของแหล่งน้ำว่ามีการปนเปื้อนเพียงใด
  2.7 ซัลเฟต เป็นธาตุที่เกิดในน้ำธรรมชาติ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของความกระด้างถาวร
หรือเกิดเป็นเกลือของธาตุอื่นๆ เช่น โซเดียม โพแทสเซียมเป็นต้น น้ำที่มีซัลเฟสมากๆ
จะทำให้เกิดตะกรันแข็งที่หม้อต้มน้ำ และเกิดกลิ่นเหม็นจากการรวมตัวของแบคทีเรีย
บางชนิด การดื่มน้ำที่มีซัลเฟตในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการคล้ายการกินยาถ่ายได้
  2.8 ตะกั่ว เป็นธาตุที่เกิดจากการที่น้ำไหลในท่อเหล็กหรือมีส่วนผสมของเหล็ก
รวมทั้งท่อไอเสียจากรถยนต์ การใช้สีตะกั่ว สีผสมตะกั่ว ยาฆ่าแมลงในการเกษตร
เครื่องสำอาง เป็นต้น น้ำที่มีตะกั่วผสมอยู่จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพเพราะเกิด
การสะสมจนกลายเป็นโรคพิษของตะกั่วซึ่งทำลายสมองและระบบประสาท
  2.9 ทองแดง เป็นธาตุที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท การกัดกร่อน
ท่อน้ำหรือภาชนะที่ทำด้วยทองแดง ทองเหลือง รวมทั้งการใช้สารจุนสีในการทำลาย
สาหร่ายในน้ำ ทองแดงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตเพราะมนุษย์ต้องการบริโภคทองแดงจาก
อาหารเฉลี่ยวันละประมาณ 2 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง แต่ถ้าทองแดงมี
ปริมาณมาก ๆ จะทำให้น้ำมีรสขม และเกิดรอยด่างติดตามภาชนะกระเบื้องเคลือบ
  2.10 สังกะสี น้ำผิวดินธรรมชาติมักมีสังกะสีละลายอยู่  ซึ่งเกิดจากการกัดกร่อน
ท่อน้ำหรือภาชนะที่ทำด้วยทองแดง เหล็กอาบสังกะสี ยางรถยนต์ เป็นต้น สังกะสีเป็น
ธาตุที่ร่างกายต้องการเพราะช่วยป้องกันโรคแคระแกรนและความบกพร่องในการ
เจริญเติบโตของร่างกาย แต่ถ้าน้ำมีปริมาณสังกะสีตั้งแต่ 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตรจะทำ
ให้ผิวน้ำเป็นคราบน้ำมัน และถ้ามีปริมาณสังกะสี 5 มิลลิกรัมต่อลิตรจะทำให้น้ำมีรสขม
ถ้ามีสังกะสีปริมาณ 25 – 40 มิลลิกรัมต่อลิตร จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
  2.11 ไนไตรต์ เป็นธาตุที่เกิดจากปฏิกิริยาชีวเคมีของจุลินทรีย์ที่มีการออกซิเดชั่น
ของแอมโมเนียก่อนจะกลายเป็นไนเตรต น้ำที่มีไนไตรต์ละลายอยู่เป็นสิ่งแสดงว่ามีการ
ปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกที่มีอินทรีย์สารประกอบ การดื่มน้ำที่มีปริมาณไนไตรต์เกินกว่า
1 มิลลิกรัมต่อลิตร จะทำให้เด็กทารกมีภาวะผิวหนังเป็นสีเขียวหรือน้ำเงิน เนื่องจาก
ขาดเลือดและออกซิเจน ซึ่งอาจถึงตายได้ โดยเฉพาะทารกที่มีอายุต่ำกว่า 3 เดือน
  2.12 ไนเตรต เป็นธาตุที่เกิดจากพืชหรือสัตว์น้ำ ที่มีสารอินทรีย์ไนโตรเจนเป็น
องค์ประกอบ หรืออาจเกิดจากการปนเปื้อนของสิ่งสกปรก น้ำที่มีไนเตรตละลายอยู่มาก
จะเป็นตัวชี้ความสกปรกของน้ำ และทำให้เกิดโรคในเด็กทารกช่นเดียวกับไนไตรต์
เแต่จะช่วยให้สาหร่ายหรือพืชในน้ำเจริญเติบโตได้ดี
  2.13 สารหนู เป็นธาตุที่ได้จากการที่น้ำไหลผ่านชั้นดินหรือพื้นที่มีสารหนูรวมทั้ง
การตกค้างจากการใช้ยาฆ่าศัตรูพืช สัตว์ ปุ๋ย ผงซักฟอก ที่มีสารหนูประกอบอาหาร
ทะเลบางชนิด และจากโรงงานอุตสาหกรรม สารหนูเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
จึงไม่ควรดื่มน้ำที่มีสารหนูละลายอยู่ในปริมาณที่มากกว่า 0.05  มิลลิกรัมต่อลิตร
3.
คุณภาพของน้ำทางชีวภาพ  หมายถึง  ลักษณะของน้ำที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในน้ำ
เช่น จุลินทรีย์ แพลงตอน พืชน้ำ และสัตว์น้ำ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะช่วยทำลายสิ่งสกปรก
ในน้ำและนำมาใช้เป็นอาหารได้ ส่วนน้ำที่นำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคอาจมีจุลินทรีย์
ปนเปื้อนอยู่ จุลินทรีย์บางชนิด เช่น ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตรชัว และหนอนพยาธิ ทำให้
เกิดโรคต่อมนุษย์ กล่าวคือ
      3.1 ไวรัส เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นต้องใช้กล้อง
    จุลทรรศน์อิเล็คตรอนที่มีกำลังขยายพิเศษในการช่วยดู ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคแก่มนุษย
    ์ เช่น โรคตับอักเสบชนิด เอ หรือทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงในเด็ก
      3.2 แบคทีเรีย เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าไวรัส สามารถใช้กล้องจุลทรรศน์
    ธรรมดาขนาดกำลังขยาย 100 เท่าก็มองเห็นได้ เป็นสัตว์เซลล์เดียว พบได้ในพื้นที่
    บางแห่งโดยเฉพาะที่ชื้น แบคทีเรียมีรูปร่าง 3 แบบ คือ รูปร่างกลมรูปร่างเป็นแท่ง และ
    รูปร่างเป็นเกลียว แบคทีเรียทำให้เกิดโรคที่มีน้ำเป็นตัวนำ เช่น อหิวาตกโรค
    ไข้โรคสาด โรคบิด เป็นต้น
      1113.3 โปรโตชัว  เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าแบคทีเรีย แต่ไม่สามารถ
      มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ดู เป็นสัตว์เซลล์เดียว อาศัยในน้ำที่มี
      ออกซิเจน โปรโตชัวบางชนิด ทำให้เกิดโรคเช่นโรคบิดชนิดอมีบา หรือโรคจิอาร์เดีย
      ที่ทำให้ท้องร่วง ปวดท้อง เกร็งท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว ปวดเมื่อยเนื้อตัว คลื่นไส้
      เป็นต้น
        3.4 หนอนพยาธิ เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าจุลินทรีย์ชนิดอื่น ๆ มีลักษณะ
      ใกล้เคียงกับสัตว์มากกว่าพืช  รูปร่างคล้ายหนอน จัดเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทปรสิต
      เพราะต้องอาศัยอยู่บนหรือในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ หนอนพยาธิมี 3 ประเภท คือ
      พยาธิตัวกลม พยาธิตัวแบบ และพยาธิใบไม้ ซึ่งทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น
        3.4.1 โรคพยาธิไส้เดือนกลม ทำให้เกิดอาการปวดท้อง น้ำหนักลดอ่อนเพลีย ถ้า
      พยาธิไปอุดตันอวัยวะสำคัญของร่างกาย เช่น ท่อน้ำดีจะทำให้มีอาการแทรกซ้อนของ
      โรคดีซ่าน
        3.4.2 โรคพยาธิเข็มหมุด  เกิดจากพยาธิตัวกลม ที่ทำให้มีอาการซูบซีด
      ร่างกายผอมอ่อนเพลีย
        3.4.3 โรคพยาธิใบไม้ปอด เกิดจากพยาธิใบไม้หรือตัวแก่ของพยาธิอาศัยอยู่ใน
      ปอดของคนทำให้มีอาการไอเรื้อรัง มีเลือดปนเสมหะ เจ็บปวดหน้าอก
        คุณภาพทางกายภาพ  เช่น  ความขุ่น สี กลิ่น รสชาติ มีผลทำให้บริโภคได้น้อย
      เพราะไม่น่าดื่มกิน
        คุณภาพทางเคมี เช่น ความเป็นกรด ด่าง ความกระด้าง และมีธาตุต่างๆ เจือปน
      จะทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคฟันเปราะ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มะเร็ง
      และเกิดการอุดตันของท่อน้ำ รวมทั้งเกิดความสกปรกติดภาชนะเครื่องใช้และเสื้อผ้า
        คุณภาพทางชีวภาพ  เช่น ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตชัว หนอนพยาธิ ทำให้เกิดโรค
      เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร อหิวาตกโรค โรคตับอักเสบ บิด ไข้รากสาด และ
      โรคทางพยาธ
        ดังนั้นการใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพมาตรฐานย่อมทำให้ร่างกายแข็งแรง
      ปราศจากโรคต่าง ๆ

       

       

             

       

      6.1
        ความสำคัญของน้ำที่มีต่อชีวิต
      6.2
        วัฎจักรของน้ำ
      6.3
        ประเภทของแหล่งน้ำ
      6.4
        คุณภาพของน้ำ
      6.5
        การผลิตน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภค
          บริโภค