2.
อาคารประกอบ  หมายถึง อาคารอื่น ๆ ที่ใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของ
นักเรียน ซึ่งประกอบด้วย
2.1ห้องพยาบาล ควรอยู่ชั้นล่างของอาคารเรียน ถ้าเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่อาจมี
อาคารพยาบาลโดยเฉพาะหนึ่งหลัง โดยตั้งให้ไกลจากเสียงรบกวน  เช่น สนามกีฬา
โรงอาหารภายในห้องพยาบาลควรแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนโดยใช้ฉากหรือตู้กั้น มีเตียง
พักผู้ป่วยพอเหมาะกับจำนวนนักเรียน และอุปกรณ์ในการปฐมพยาบาลให้พร้อม
เช่น ยาเวชภัณฑ์   เครื่องชั่งน้ำหนักเครื่องวัดความดัน  เครื่องวัดอุณหภูมิของร่างกาย
เครื่องวัดส่วนสูง เครื่องวัดการได้ยิน เป็นต้นการจัดแบ่งห้องพยาบาลอาจแบ่งได้ 
2  ส่วน และมีห้องน้ำอยู่ภายในห้อง ส่วนที่  1  เป็นที่วางตู้เวชภัณฑ์  และอุปกรณ์ต่าง ๆ
เพื่อรับการตรวจรักษา อาจจัดโต๊ะทำแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ และอ่างล้างมือไว้สำหรับใช่งาน
ส่วนที่  2  เป็นเตียงสำหรับคนไข้หรือจัดโต๊ะเก้าอี้สำหรับแพทย์ใช้ตรวจนักเรียน
  ภายในห้องพยาบาลควรได้รับแสงสว่างอย่างเพียงพอ มีหน้าต่าง หรือช่องลม
ช่วยให้อากาศหมุนเวียนได้ดี และมีการรักษาความสะอาดอยู่เสมอ  ซึ่งควรมีผู้ดูแล
รับผิดชอบในการใช้อุปกรณ์และให้ยาอย่างถูกต้องปลอดภัยอาจเป็นพยาบาลหรือ
ครูสุขศึกษาก็ได้
  2.2 โรงอาหาร  เป็นอาคารที่มีความสำคัญของโรงเรียน เพราะนักเรียนใช้เป็น
สถานที่รับประทานอาหารให้เป็นสัดส่วน  ถูกสุขลักษณะ สะดวกต่อการควบคุมเรื่อง
ความสะอาด และการสุขาภิบาลอาหาร ลักษณะของโรงอาหารที่ดีควรมีแสงสว่างและ
การถ่ายเทอากาศที่เพียงพอ ซึ่งอาจใช้พัดลมช่วยในการหมุนเวียนอากาศ  ภายใน
โรงอาหารต้องจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัย  ด้วยการจัดโต๊ะอาหารและที่นั่ง
เพียงพอกับจำนวนนักเรียนพื้นที่ที่เหมาะสมคือจำนวนนักเรียน 1 คน ควรมีพื้นที่เฉลี่ย
1 ตารางเมตร มีน้ำดื่มสะอาดพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น ถัง ก๊อกน้ำ 
และล้างภาชนะที่ใช้ในการรับประทานอาหาร จัดที่รองรับเศษอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
และเพียงพอ  มีการควบคุมเรื่องความสะอาดของการปรุงอาหาร และภาชนะที่ใส่อาหาร
มีเคาร์เตอร์สำหรับจ่ายอาหาร และใช้ลวดตาข่ายกั้นเป็นบริเวณเพื่อป้องกันแมลงวัน
หรือสัตว์ต่าง ๆ เช่น สุนัข  แมว เข้าไปรบกวน
  2.3 โรงครัว เป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ประกอบอาหารให้สะอาดถูกอนามัยที่ตั้ง
ของโรง ครัวควรห่างจากสิ่งโสโครก กองขยะหรือสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ พื้นห้องเป็นวัสดุทน
ไฟทึบเรียบและทำความสะอาดง่าย มีตาข่ายที่ประตูหน้าต่างเพื่อป้องกันแมลงวันและ
หนูมีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อความสะอาดในการปรุงอาหารและป้องกันอุบัติเหตุระบบ
การถ่ายเทอากาศดี เพราะการปรุงอาหารจะมีความร้อนและกลิ่น ดังนั้น การตั้งเตาไฟ
จึงควรให้มีความสูงพอเหมาะกับการยืนปรุงและมีปล่องไฟดูดควันหรือกลิ่นอาหาร
ออกจากโรงครัว จัดถังขยะรับเศษอาหารและขยะมูลฝอยต่าง ๆ ซึ่งทำความสะอาดง่าย
มีฝาปิดมิดชิดและไม่รั่ว  มีรางระบายน้ำอย่างดี เพื่อไม่ให้เศษอาหารตกค้างและบูดเน่า
ส่งกลิ่นเหม็น  รวมทั้งอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวันหรือเชื้อโรคต่าง ๆมีตู้เก็บอาหาร
ทีปรุงสำเร็จซึ่งควรโปร่งและป้องกันแมลงวัน  แมลงสาบหรือสัตว์อื่น ๆ ได้ ภาชนะที่
ใส่อาหารและอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหารไม่ควรวางบนพื้นครัว  เมื่อล้างแล้วผึ่งแดด
หรือปล่อยให้แห้งและเก็บไว้ในที่สะอาด  มีน้ำสะอาดและเพียงพอสำหรับปรุงอาหาร
และล้างภาชนะ หรือทำความสะอาดอื่น ๆ
  2.4 ห้องพลศึกษา เป็นห้องที่ใช้สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์และทำกิจกรรมทาง
พลศึกษาซึ่งควรคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายโดยจัดวาง
สิ่งของให้เป็นระเบียบไม่กีดขวางพื้นที่สำหรับเรียนกิจกรรม พื้นห้องควรทำด้วยวัสดุที่
รองเท้าเกาะยึดได้ดี ควรตีเส้นขอบสนามให้ห่างจากฝาผนังพอสมควร และให้ส่วนของ
วัสดุที่ติดฝาห้องยื่นออกมาน้อยที่สุด
  2.5 ห้องน้ำห้อมส้วม  เป็นสถานที่สำคัญที่โรงเรียนต้องจัดให้เพียงพอกับจำนวน
นักเรียน ถ้ามีนักเรียนชายมากอาจจัดที่ปัสสาวะให้ด้วยโดยแยกส้วมนักเรียนชายและ
นักเรียนหญิงไว้คนละแห่ง มีการรักษาความสะอาดอย่างดีเพราะส้วมเป็นแหล่งที่ทำให้
เกิดกลิ่นเหม็นรบกวนและแพร่กระจายเชื้อโรค รวมทั้งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลง
นำโรคต่าง ๆหลักของการสร้างส้วมควรตั้งในทำเลที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี มีท่อระบาย
แก๊สภายในส้วมขึ้นสู่อากาศไม่อับทึบ มีแสงสว่างเพียงพอ สะดวกในการใช้และรักษา
ความสะอาด ไม่ชื้น ที่เก็บอุจจาระมิดชิดป้องกันแมลงวันและสัตว์ได้ดี  และมีอ่างล้างมือ
ควรมีประกาศห้ามทิ้งสิ่งใด ๆ ลงในส้วมเพื่อป้องกันส้วมเต็ม เกณฑ์ในการคำนวณ
จำนวนส้วมและมีปัสสาวะที่เหมาะสมคือ 3 ที่ต่อนักเรียน 100 คนแรกและเพิ่มส้วม 1
ที่ต่อจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น 60 – 100 คน สำหรับนักเรียนชายในระดับประถม
และมัธยม  ส่วนนักเรียนหญิง 100 คนแรกควรมีส้วม 3 ที่และเพิ่มขึ้นอีก 1 ที่เมื่อ
มีนักเรียนเพิ่มขึ้นอีก 30 – 50 คนสำหรับนักเรียนระดับประถมและมัธยมตามลำดับ
3.
อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ในห้องเรียน ภายในห้องเรียนจำเป็นต้องมี
อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน  ซึ่งต้องจัดให้ถูกสุขลักษณะ
และใช้ได้สะดวก ประกอบด้วย
3.1 โต๊ะครู ใช้สำหรับวางสมุด  หนังสือ  อุปกรณ์ ประกอบการสอนต่าง ๆ อาจตั้ง
ด้านซ้ายหรือขวาของห้องเรียน เพื่อความสะดวกในการใช้กระดานมากกว่าวางกลาง
หน้ากระดานชอล์ก
  3.2 โต๊ะเรียนและม้านั่ง  มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งเป็นวัยที่
กำลังเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและจิตใจเพราะถ้าโต๊ะเรียนกับม้านั่งไม่ได้สัดส่วน
จะทำให้เสียบุคลิกหรือร่างกายผิดส่วนไป  โดยทั่วไปโต๊ะเรียนควรมีความกว้าง 1 ศอก
ยาว 2 ศอกของผู้นั่งหรือมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 35 X 70 ตารางเซนติเมตร ฝาโต๊ะควรมี
ความลาดประมาณ 15 องศา และระดับล่างของฝาโต๊ะควรมีช่องว่างหน้าตักให้ผู้นั่ง
เข้าออกสะดวก  ส่วนม้านั่ง ควรมีความสูงเท่ากับท่อนขาส่วนล่างของนักเรียน  เมื่อวาง
ฝ่าเท้าราบกับพื้นโดยหัวเข่าเป็นมุมฉากได้ ความกว้างของที่นั่งควรมีขนาดสองในสาม
ของความยาวของขาผู้นั่ง พื้นเป็นแอ่งดีกว่าพื้นราบ พนักพิงไม่ควรสูงกว่าสะบักส่วน
ล่างพนักพิงไม่ทึบ  ควรปล่อยช่องว่างให้นั่งสบาย  กองสุขาภิบาลกรมอนามัย ได้กำหนด
ขนาดโต๊ะเรียนและม้านั่งให้เหมาะสมกับนักเรียนที่มีรูปร่างแตกต่างรวม 5 ขนาด
   
   
การจัดโต๊ะเรียนและม้านั่งให้ถูกสุขลักษณะควรใช้โต๊ะเดี่ยวมากกว่าโต๊ะหมู่  มีความ
สะอาด มั่นคง แข็งแรง จัดโต๊ะให้ได้แสงสว่างเหมาะสม มีช่องว่างระหว่างแถวไม่ต่ำกว่า
45 เซนติเมตร เพื่อให้ลุกนั่งได้สะดวก  และครูสามารถเดินตามโต๊ะนักเรียนได้ไม้ควร
ตรึงโต๊ะและม้านั่งติดอยู่กับที่เพราะไม่สะดวกในการจัดทำกิจกรรมและโยกย้าย
  3.3 กระดานชอล์ก  มักทำด้วยกระดานไม้อัดทาสีเขียว เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้สึก
เย็นตาและกล้ามเนื้อไม่ต้องทำงานมากจากการเพ่งมองสีขาวกับสีเขียว การติดตั้ง
กระดานชอล์กควรติดกับฝาผนังห้องเรียนในระดับที่สูงพอที่นักเรียนแถวหน้าห่างจาก
กระดานไม่น้อยกว่า 2  เมตร และแถวหลังห่างไม่เกิน 9 – 10 เมตร กระดานชอล์กควร
มีขอบหรือกรอบไม้ทาสีขาวหรือรางไม้ติดไว้ขอบล่างสำหรับรองรับผงชอล์ก สีที่ใช้
ทาควรเป็นสีด้าน หรือมีการสะท้อนไม่เกินร้อยละ 20 เพื่อไม่ให้แสงชอนนัยน์ตา และ
ช่วยในการมองให้ชัดเจนขึ้น ควรมีการซ่อมแซมทาสีเพื่อให้เขียนได้ชัดเจนและ
ทำความสะอาดเป็นระยะ ๆ สำหรับแปรงลบกระดานควรมีไว้ประจำและทำความสะอาด
อยู่เสมอ
  3.4 สนามกีฬา เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีในโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนได้ใช้เป็นที่
ออกกำลังกายเพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง การจัดแบ่งพื้นที่สนามควรมีพื้นที่
อัตราเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของบริเวณโรงเรียน ถ้าเป็นสนามฟุตบอล ควรอยู่ด้าน
หน้า ควรอยู่ด้านหน้าของโรงเรียน ทางทิศเหนือหรือทิศใต้ เพื่อไม่ให้แดดชอนตา
นักเรียนขณะเล่นกีฬา ส่วนสนามกีฬาเล็กหรือสนามบางประเภท เช่น สนามเด็กเล่น
ควรจัดอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังของโรงเรียน พื้นสนามควรปรับให้เรียบไม่เป็นหลุม
บ่อเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ  พลัดตกหกล้ม รวมทั้งมีระบบการระบายน้ำที่ดี ปลูกและบำรุง
หญ้าอย่าง สวยงาม ริมของสนามควรปลูกต้นไม้ใบทึบเพื่อกันแดด  และเป็นที่ร่ม
เงาของนักเรียน รวมทั้งช่วยป้องกันเสียงรบกวนได้ระดับหนึ่ง ควรจัดม้านั่งและมีถัง
รองรับขยะมูลฝอยเป็นระยะ ๆ
4.
การถ่ายเทอากาศและแสงสว่าง มีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างเสริมหรือบั่น
ทอนการเรียนการสอนโดยเฉพาะในห้องเรียน เพราะถ้าการถ่ายเทอากาศใน
ห้องไม่ดีพอเกิดความอบอ้าว จะทำให้นักเรียนง่วงเหงาหาวนอน ปวดศีรษะ หรือมึนซึม
จึงควรมีประตูหน้าต่างให้เพียงพอโดยมีเนื้อที่ของช่วงประตู  หน้าต่างไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 20 ของพื้นที่ห้องทั้งหมด  รอบห้องเรียนควรมีช่องลมปิดด้วยไม้ตีเป็นลูกกรง
และมีชายคาคลุมกันฝนสาดเข้าได้ บริเวณโดยรอบห้องเรียนภายในระยะ 8 เมตร
ไม่ควรปลูกต้นไม้ใหญ่ เพื่อไมให้ขัดขวางการระบายอากาศและช่วยให้หลังคาไม่
สกปรกชำรุดได้ง่าย
  สำหรับแสงสว่างที่เหมาะสมกับสายตา  ควรส่องเข้าทางซ้ายมือของนักเรียน ถ้าแสง
สว่างจากธรรมชาติไม่เพียงพอควรหาหลอดไฟฟ้ามาเพิ่ม  ซึ่งต้องส่องสม่ำเสมอไม่ใช่
่แสงกระพริบและใช้การทาสีภายในห้องช่วยการสะท้อนแสงในห้องเรียนประกอบซึ่งสี
ต่าง ๆ จะให้กำลังสะท้อนแสงแตกต่างกันออกไป
 
 
5.
น้ำดื่ม  น้ำใช้  และการระบายน้ำในบริเวณโรงเรียน  น้ำเป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับการดำรงชีวิต โรงเรียนจึงต้องจัดบริการน้ำดื่มน้ำใช้ให้นักเรียน ซึ่งต้องเป็นน้ำ
สะอาดปลอดภัยปราศจากเชื้อโรค และมีจำนวนเพียงพอโดยอาจคำนวณในเกณฑ์ 3–4
ลิตรต่อคนต่อวัน โรงเรียนที่ตั้งในเขตการประปา อาจจัดตู้น้ำเย็น อ่างน้ำพุ หรือใช้
เครื่องกรองน้ำเพื่อให้บริการน้ำดื่ม เพราะน้ำประปา อาจจัดตู้น้ำเย็น อ่างน้ำพุหรือใช้
น้ำเพื่อให้บริการน้ำดื่ม เพราะน้ำประปา จะผ่านการกำจัดเชื้อโรค ความขุ่นและความ
เป็นกรดด่างมากแล้ว ถ้าโรงเรียนจัดน้ำฝนให้บริการเป็นน้ำดื่มควรระมัดระวังเรื่อง
ความสะอาด ซึ่งอาจเก็บในแท็งก์น้ำ หรือทำถังเก็บน้ำฝนมีฝาปิดมิดชิดและทำความ
สะอาดอย่างน้อยปีละครั้ง และเริ่มรองน้ำฝนหลังจากที่ฝนตกหลายครั้ง เพื่อให้น้ำฝน
ชะล้างสิ่งสกปรกบนหลังคาก่อน ถ้าเป็นน้ำบ่อควรตั้งให้ห่างจากแหล่งน้ำโสโครก
อย่างน้อย 30 เมตร มีขอบบ่อกั้นเพื่อป้องกันดินพัง ขอบบ่อต้องสูงจากพื้นดินไม่น้อย
กว่า 50 เซนติเมตร ทำลานซีเมนต์รอบปากบ่อ มีทางระบายน้ำ และมีฝาปิดครอบ
ไม่ให้เชื้อโรคหรือฝุ่นละอองตกลงในบ่อโดยติดตั้งเครื่องสูบน้ำแทนการใช้ถังผูกเชือก
หย่อนตักในน้ำและต้มน้ำให้เดือดประมาณ 5 นาที ก่อนนำไปดื่ม ส่วนอ่างน้ำพุแล
ะอ่างล้างมือควรแยกไว้ต่างหาก และติดตั้งไว้ให้เหมาะสมกับส่วนสูงของนักเรียน
อ่างน้ำพุและอ่างล้างมือควรทำจากวัสดุไม่อุ้มน้ำ ขัดล้างและทำความสะอาดได้ง่าย
จำนวนอ่างล้างมือควรมีอย่างน้อย 1 ทีต่อจำนวนนักเรียน 50 คน หรือก๊อกน้ำดื่มใช้ 1
ก๊อกต่อนักเรียน 50  คน เพิ่มอีก 1 ก๊อก สำหรับนักเรียนที่เกิน 50 คน แต่ไม่ถึง
100  คน
  การระบายน้ำในบริเวณโรงเรียน ควรทำรางหรือท่อน้ำทิ้งเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขัง
ซึ่งอาจส่งกลิ่นเหม็น เป็นแหล่งเกิดเชื้อโรค และเป็นที่เพาะพันธุ์ยุง แมลงวัน และ
แมลงสาบ การวางแนวระบายน้ำควรแบ่งออกเป็นทาง ๆ เพื่อแบ่งปริมาณน้ำให้ไหลเป็น
หลายทาง น้ำโสโครกจากห้องน้ำ  ห้องส้วม ควรจัดทำโดยใช้การต่อท่อลงถังเกรอะ
บ่อซึมแยกต่างหาก
6.
การกำจัดขยะมูลฝอย ขยะมูลฝอยเป็นบ่อเกิดของเหตุรำคาญต่าง ๆ และ
เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน หรือเป็นที่อยู่อาศัยของหนู และสัตว์อื่น ๆ ขยะมูลฝอย
ในโรงเรียนส่วนมากมักเป็นเศษกระดาษ  เศษอาหาร และวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ ห้อง
เรียนทุกห้องจึงควรมีตะกร้าสำหรับใส่เศษกระดาษขยะมูลฝอย และนำไปเททิ้งทุกวัน
สำหรับขยะมูลฝอย เปียกหรือเศษอาหารควรจัดภาชนะรองรับให้เพียงพอและทิ้งใน
หลุมที่ขุดไว้ เมื่อเททิ้งทุกครั้งควรเอาดินหรือทรายเทกลบให้หนาประมาณ 20 ซม.
เพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นและสัตว์ไปคุ้ยเขี่ย ถ้าโรงเรียนตั้งอยู่เขตเทศบาลที่มีการกำจัด
ขยะมูลฝอยควรนำไปเทรวมในภาชนะที่เจ้าหน้าที่ตั้งไวเป็นประจำทุกวัน โรงเรียนควร
จัดหาภาชนะสำหรับทิ้งขยะมูลฝอย ตั้งไว้ตามที่ต่าง ๆ ซึ่งควรมีฝาปิดและทำความสะอาด
ได้ง่าย
7.
การป้องกันโรคติดต่อ โรงเรียนควรตรวจตราและสังเกตนักเรียน โดยจัดทำบันทึก
ประวัติสุขภาพของนักเรียนเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังโรค ถ้าพบว่านักเรียนเป็นโรค
ติดต่อควรอนุญาตให้นักเรียนพักการเรียนชั่วคราวจนกว่าจะหายเป็นปกติ
โรคที่เกิดขึ้นอาจติดต่อด้วยวิธีต่าง ๆ
 
   
8.
สุขวิทยาส่วนบุคคล  เป็นสิ่งที่โรงเรียนสอนให้นักเรียนรู้จักดูแลรักษาสุขภาพ
ต่าง ๆ เช่น การดูแลรักษาฟัน การออกกำลังกาย  การรับประทานอาหาร ท่านั่งเรียน
ที่เหมาะสมโดยครูเป็นบุคคลสำคัญในการอบรมสั่งสอนให้นักเรียนมีความรู้และทัศนคติ
ที่ดีในการรักษาสุขภาพของตัวเอง
  องค์ประกอบต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นในการจัดการสุขาภิบาลโรงเรียน
ดังแผนภูมิ
   
       
       

 

4.1
  ความหมายและความสำคัญของ
    การสุขาภิบาลโรงเรียน
4.2
  บุคคลที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับ
    การสุขาภิบาลโรงเรียน
4.3
  หลักการจัดสุขาภิบาลโรงเรียน
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
 
         
ก่อนหน้า