ปัจจัยที่กำหนดลักษณะของระบบนิเวศ

  การดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ในระบบนิเวศต่าง ๆ ต้องมีองค์ประกอบทั้งที่เป็นสิ่ง
ไม่มีชีวิตหรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ  และสิ่งมีชีวิตประจำตัวกำหนดเช่น จำนวนกวาง
ที่มีในป่าย่อมขึ้นอยู่กับหญ้าและน้ำในป่านั้น ถ้าจำนวนกวางเพิ่มขึ้นแต่หญ้าที่มีใน
บริเวณป่าขึ้นไม่ทันกับความต้องการ กวางที่เกิดมาใหม่ไม่มีอาหารกินจะต้องล้มตาย
หรือย้ายไปอยู่ป่าแห่งอื่น ๆ ตัวอย่างนี้เป็นการดำรงอยู่ในระบบนิเวศที่สมดุล สัตว์และ
พืชในระบบนิเวศย่อมเลือกเกิดหรืออาศัยในที่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต  ซึ่งประกอบ
ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่กำหนดลักษณะของระบบนิเวศ ดังนี้
1.
อุณหภูมิ ภูมิอากาศของแต่ละพื้นที่เป็นเครื่องกำหนดว่ามีสัตว์หรือพืชชนิดใด
ดำรงชีวิตอยู่ได้บ้าง เช่น ทะเลทรายที่มีอากาศร้อน  จะมีอูฐและพืชตระกูลกระบองเพชร
ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้  การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในช่วงเวลาต่าง ๆ ยังเป็นตัว
กำหนดพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตด้วยเช่น ในฤดูร้อนกบจะจำศีลเพราะขาดแคลนอาหาร
และต้องอาศัยในรูลึกเพราะเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณภายนอกโดยทั่วไป
เพื่อเป็นการสงวนพลังงานของร่างกายไว้
2.
ความชื้น ครอบคลุมทั้งความชื้นในดินและความชื้นที่เกิดจากปริมาณไอน้ำใน
อากาศที่มีความสัมพันธ์กับพืชและสัตว์ เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งสองประเภทนี้จะมีการถ่าย
เทไอน้ำให้กับอากาศเสมอ เช่น ในบริเวณที่อากาศมีความชื้นต่ำร่างกายจะหายใจไม่
สะดวก หรือในวันที่อากาศร้อนและแห้ง ร่างกายจะต้องการน้ำมากเพราะมีการถ่ายเท
น้ำไปให้อากาศทำให้หิวน้ำมากและบ่อยครั้งสำหรับพื้นซึ่งมีการถ่ายเทน้ำกับอากาศ
เสมอนั้นต้องอาศัยไอน้ำในอากาศโดยการหายใจเข้าทางใบ ดังนั้นในบริเวณที่
ระบบนิเวศมีความชื้นมากจึงมีพืชและสัตว์อยู่อย่างหนาแน่น
3.
แสงสว่าง ซึ่งรวมถึงแสงจากดวงอาทิตย์และแสงสว่างจากแหล่งพลังงานอื่น ๆ เป็น
ส่วนสำคัญต่อระบบนิเวศ เพราะทำให้เกิดการถ่ายเทวัตถุต่าง ๆ ในระบบนิเวศ กล่าวคือ
เป็นการทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ถือกำเนิดและดำรงอยู่ได้ ตัวอย่างเช่นพืชที่ขึ้น
ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ย่อมมีลักษณะแตกต่างจากพืชที่อยู่ในที่โล่งแจ้ง ความสว่างและ
ความมืดมีอิทธิพลในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของสัตว์และพืชเช่น นก และสัตว์ต่าง ๆ
จะกลับเข้ารังหรือที่อยู่อาศัย เพราะสัตว์เหล่านี้ตอบสนองต่อความมืด หรือพืชส่วนใหญ่
จะสลัดใบทิ้งในฤดูหนาวเพราะเป็นช่วงที่ได้รับแสงสว่างน้อยลง
4.
ดิน เป็นที่รวมของธาตุอาหารต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ไนเตรท ฟอสฟอรัส เป็นต้น
ดิน เป็นแหล่งผลิตปุ๋ยโดยธรรมชาติ  เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ตายจะถูกย่อย
สลายธาตุต่าง ๆกลายเป็นฮิวมัส เพื่อให้พืชได้ใช้ธาตุต่าง ๆได้ต่อไป ส่วนประกอบในดิน
นอกจากจะมีธาตุอาหารต่าง ๆ ของพืชแล้วยังมีสัตว์ขนาดเล็ก ๆ น้ำ และอากาศด้วย
ดินที่มีความสมบูรณ์หรือมีธาตุอาหารที่แตกต่างกันย่อมทำให้พืชและสัตว์ที่อาศัยดิน
นั้น ๆ เพื่อดำรงชีวิตอยู่มีความแตกต่างกันในเรื่องของชนิดและกระบวนการเจริญ
เติบโต
5.
ไฟป่า  เป็นสิ่งทีทำให้ชีวิตของพืชและสัตว์เปลี่ยนแปลงการเกิดไฟป่าในแต่ละครั้ง
ส่งผลกระทบต่อการอพยพเคลื่อนย้ายของสัตว์ที่ต้องหนีไฟไปอยู่ถิ่นอื่น ปริมาณของ
ต้นไม้ลดลงจากการถูกเผาตายซึ่งรวมถึงหญ้าที่ปกคลุมดิน แต่ในขณะเดียวกัน หลังการ
เผาไหม้ของไฟป่าจะทำให้พืชบางชนิดสามารถแตกขึ้นมาใหม่และเจริญงอกงามได้
อย่างรวดเร็วเพราะไม่มีพืชอื่น ๆ มาบังแสงแดดหรือแย่งอาหาร
6.
มลพิษ (Pollution)  เป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงหรือกำหนดลักษณะของสิ่งทีมี
ชีวิตและไม่มีชีวิตในระบบนิเวศ เพราะมลพิษทำให้สภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศมีการ
เปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ เช่นทำให้การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตไม่
สมบูรณ์ ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่พืชและสัตว์ที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมซึ่งได้รับผล
กระทบหรือเกิดมลพิษในบริเวณนั้น ๆ หรืออาจทำให้ตายลงได้มลพิษส่วนใหญ่เป็น
กิจกรรมที่เกิดจากคน
7.
การแย่งชิง (Competition) เป็นลักษณะของการแย่งชิงกันระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิด
เดียวกันหรือระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกัน เนื่องจากปริมาณของทรัพยากร เช่น น้ำ
อาหาร แสงสว่าง หรือพื้นที่อยู่อาศัยมีจำนวนจำกัด หรือไม่เพียงพอจะทำให้สิ่งมีชีวิต
อื่น ๆ ดำรงอยู่ได้เป็นปกติ การแย่งชิงนี้ส่งผลกระทบทำให้สิ่งมีชีวิตตายลงเพราะไม่
สามารถแสวงหาทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตได้ เช่น ป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ถูกตัด
โค่นทำลายทำให้ป่าชนิดเดิมเกิดขึ้นทดแทนตามธรรมชาติได้ยากเพราะพืชที่อยู่ใน
บริเวณนั้นได้รับแสงแดดและสารอาหารเพิ่มขึ้นแทนต้นไม้ใหญ่ที่ตายลง ทำให้สภาพ
ของพืชที่เติบใหญ่เปลี่ยนแปลงสภาพป่าไปด้วย
8.
การกินซึ่งกันและกัน (Predation) เกิดจากการที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งกินสิ่งมีชีวิต
อื่น ๆ เป็นอาหาร เช่น ตั๊กแตนกินหญ้า นกจะกินตั๊กแตนอีกทอดหนึ่ง โดยธรรมชาติ
นั้นสัตว์จะระมัดระวังไม่ให้ถูกสัตว์อื่นจับมากินเป็นอาหาร เช่น แมลงจะบินหนีจิ้งจกที่
คอยจับกิน พืชปล่อยสารพิษหรือผลิตหนามมาป้องกันสัตว์อื่น ๆ ที่จะมากินเป็นอาหาร
เป็นต้น ถ้าในระบบนิเวศขาดความสมดุลในเรื่องการกินซึ่งกันและกันจะทำให้เกิด
ปัญหาต่าง ๆ ขึ้นได้ เช่น ในทุ่งนาข้าวมีตั๊กแตนมากินแทะทำลายรวงข้าวเพราะไม่มี
สัตว์อื่น ๆ มาจับตั๊กแตนกินเป็นอาหารทำให้ตั๊กแตนแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว
9.
ปรสิต (Parasite)  เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินกันและกันได้ แต่ปรสิตที่ดูดกินพืชและสัตว์
อื่น ๆเป็นอาหารโดยพืชและสัตว์ที่ถูกเกาะอาศัยสามารถดำรงชีวิตได้ เช่น เห็บหรือหมัด
ที่อาศัยตามลำตัวของสุนัขก็อาศัยการดูดเลือดสุนัขเป็นอาหาร ต้นกาฝากที่เกาะอยู่กับ
ต้นไม้ใหญ่และดูดสารอาหารจากต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในอาหาร เป็นต้น
10.
ออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นก๊าซที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตและส่งผลต่อ
การเปลี่ยนแปลงระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลาโดยกระบวนการทางเคมี
ของออกซิเจนมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตเพราะต้องใช้ในการหายใจส่วน
คาร์บอนไดออกไซด์เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตและจำกัดการแพร่
กระจายของสัตว์ได้
11.
ธาตุอาหาร เป็นสิ่งจำเป็นของการดำรงชีวิตได้แก่ แร่ธาตุที่ใช้ในการสังเคราะห์
แสงเช่น แมงกานีส เหล็ก คลอรีน สังกะสี  และแร่ธาตุต่าง ๆ
12.
กระแสน้ำ ให้ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสิ่งมีชีวิต เพราะน้ำเป็นตัว
จำกัดการดำรงชีวิตและการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตในน้ำ รวมทั้งสามารถเพิ่มหรือลด
ปริมาณความเข้มข้นของก๊าซและธาตุอาหารที่ละลายในน้ำได้
  ปัจจัยต่าง ๆ ในระบบนิเวศดังกล่าวจะมีการประสานสัมพันธ์กันในลักษณะที่สมดุล
จึงจะทำให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นปกติ ตัวอย่างการประสานความ
สัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นปกติ ตัวอย่างการประสาน
ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆในระบบนิเวศ เช่น การที่พืชสังเคราะห์แสงทำให้
เกิดสารประกอบคาร์บอนอันเป็นสิ่งจำเป็นของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในการดำรงอยู่ได้ ธาตุ
อาหารและพลังงานที่เกิดจากพืชจะถ่ายทอดไปสู่สัตว์ และสัตว์ย่อยสลายพืช จนธาตุ
ต่างๆที่อยู่ในลักษณะของอาหารจะสลายสู่สิ่งแวดล้อมและรอที่จะถูกใช้ต่อไป
 
       

 

2.1
  ความหมายของนิเวศวิทยา
2.2
  ขอบข่ายของนิเวศวิทยา
2.3
  คำศัพท์ในระบบนิเวศ
2.4
  องค์ประกอบของระบบนิเวศ
2.5
  ปัจจัยที่กำหนดลักษณะ
  ของระบบนิเวศ
2.6
  ความสัมพันธ์ของนิเวศวิทยา
    กับสุขภาพสิ่งแวดล้อม
2.7
  ประโยชน์ของการรักษาระบบนิเวศ
2.8
  การสูญเสียความสมดุลย์ระบบนิเวศ
2.9
  การรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
 
         
หน้าถัดไป